4 เรื่องจริง! สะท้อนวิกฤต ‘จัดซื้อจัดจ้าง’ ราชการไทย

ระเบียบราชการ ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำให้การใช้งบประมาณภาครัฐโปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันการทุจริต แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความซับซ้อนของระเบียบได้กลายเป็น กับดัก ที่ย้อนกลับมาทำร้ายคนทำงาน ที่มีเจตนาดี โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานในแนวหน้า ทั้งแพทย์ ครู และทหาร

The Active ชวนมอง 4 เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปี 2568 ที่สะท้อนวิกฤติระบบจัดซื้อจัดจ้างไทย

  • ครูหญิงวัย 53 ปี ที่ถูกไล่ออกจากราชการ กรณีใช้เงินอาหารกลางวันเด็กไปซ่อมห้องน้ำตามคำสั่งผู้อำนวยการ

  • นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ แพทย์ชนบท ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ กรณีจัดหา ATK ในวิกฤตโควิด

  • กรณีทหารกองทัพภาคที่ 2 ต้องขอรับบริจาคลวดหนาม แม้งบประมาณมี แต่ไม่สามารถใช้ได้ทันเวลา

  • ครูมัท ครูสาววัย 39 ปี ที่จบชีวิตตนเองเพราะความกดดันจากงานการเงินโรงเรียน

ทั้ง 4 กรณีที่หยิบยกมา เกิดขึ้นในบริบทที่ต่างกัน แต่ล้วนสะท้อนปัญหาเดียวกันคือ ความแข็งทื่อของระเบียบจัดซื้อจัดจ้างไทย ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพจริง และไม่เอื้ออำนวยให้กับความเร่งด่วนของงานราชการ

ครู จ.บุรีรัมย์ : ถูกไล่ออก คดีเงินอาหารกลางวันเด็ก

16 สิงหาคม 2568 ครูหญิงวัย 53 ปี จังหวัดบุรีรัมย์ ถูกไล่ออกจากราชการ ฐาน “ทุจริตเงินอาหารกลางวันเด็ก” โดยที่มาของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ช่วงโควิด โรงเรียนได้รับคำสั่งจากผู้อำนวยการให้หักเงินอาหารกลางวันบางส่วนไปซ่อมห้องน้ำ เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยของเด็ก ๆ ครูคนนี้ปฏิบัติตาม แต่เมื่อ ป.ป.ช. เข้าตรวจสอบ กลับตีความว่าเป็น “การเบิกจ่ายผิดวัตถุประสงค์”

สุดท้าย คนที่ทำตามคำสั่งเพื่อประโยชน์เด็ก ๆ ต้องถูกลงโทษขั้นสูงสุด สูญเสียอาชีพ ขณะที่ผู้สั่งการจริงกลับไม่ถูกลงโทษ

กรณีนี้สะท้อน ความไม่เป็นธรรมในระบบสอบสวนทางวินัยราชการ ที่ไม่ได้แยกแยะเจตนาและผลลัพธ์

หมอสุภัทร : ช่วยวิกฤตโควิดเมืองกรุง แต่ผิดระเบียบ ?

วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ว่ากันว่า คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย มีมติให้ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท ออกจากราชการ เนื่องจากการจัดซื้อชุดตรวจโควิด (ATK) ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โควิดกำลังแพร่ระบาด ชุดตรวจ คือ อาวุธสำคัญ การรอขั้นตอนจัดซื้อราชการตามปกติอาจใช้เวลานานเกินไป นพ.สุภัทร จึงตัดสินใจเลือกวิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ได้ชุดตรวจอย่างรวดเร็ว แม้มีข้อสังเกตว่าอาจไม่สอดคล้องตามระเบียบทุกข้อจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จนในที่สุดถูกตีความ เป็นความผิดวินัยร้ายแรง

ภาคประชาสังคม ที่ได้เคยร่วมปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุง เมื่อปี 2564 รวมถึงนักวิชาการ จำนวนไม่น้อย ออกมาเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข ให้ความเป็นธรรมกับ นพ.สุภัทร พร้อมปกป้องโดยเชื่อว่า ทำด้วยเจตนาดี แต่ระบบราชการกลับไม่สามารถยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้

กรณีนี้จึงเป็นภาพสะท้อนชัดเจนของความย้อนแย้งระหว่าง ความถูกต้องตามระเบียบ และ ความจำเป็นด้านสาธารณสุข

ทหาร : ขอบริจาค งบฯ มีแต่ใช้ไม่ได้!

13 สิงหาคม 2568 กองทัพบก ถูกวิจารณ์หนัก หลัง กองทัพภาคที่ 2 ต้องออกมาขอรับบริจาค “ลวดหนามหีบเพลง” จากประชาชน เพื่อเสริมแนวป้องกันชายแดนไทย–กัมพูชา

ทั้งที่จริงแล้วงบประมาณกองทัพมีเพียงพอ แต่ติดขัดที่ระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน อีกทั้งลวดหนามแบบที่ต้องการไม่ขายทั่วไป ต้องสั่งผลิตเป็นพิเศษ

ดังนั้น แม้มีงบประมาณ แต่ก็ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้ จึงต้องอาศัยการบริจาคจากสังคมแทน นี่คืออีกตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างไทย ไม่ยืดหยุ่นต่อภารกิจเร่งด่วนด้านความมั่นคง

ครูมัท : ระบบ กับ ความกดดันที่พรากชีวิต

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ครูมัท ครูสอนภาษาอังกฤษและครูการเงินโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ วัย 39 ปี ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยทิ้งจดหมายลา บอกเล่าความเครียดจากการทำงานด้านการเงิน และการจัดซื้อจัดจ้างของโรงเรียน

ในจดหมาย ครูมัท ยังอ้างถึงระบบการเงินในโรงเรียน ที่มีการเบิกจ่ายล่วงหน้า แล้วค่อยมาเคลียร์เอกสารภายหลัง และในกรณีที่เกิดความผิดพลาดในการจัดซื้อ แต่กลับเป็นเธอที่ต้องแบกรับความผิดเพียงลำพัง

ในจดหมาย ครูมัท ยังระบุว่า ความเครียดของเธอมาจากระบบที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้เธอกลายเป็น “คนผิด” ทั้งที่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง เทียบกับการที่ครูหลายคนต้องทำงานที่เกินขอบเขตของหน้าที่ครู และถูกผลักให้รับผิดชอบทุกอย่าง ทั้งจากระบบราชการและจากผู้บริหารโรงเรียน

กรณีนี้ทำให้สังคมตระหนักว่า ครูจำนวนมากในระบบการศึกษาไทย ไม่เพียงต้องสอนหนังสือ แต่ยังถูกบังคับให้ทำหน้าที่การเงิน–ธุรการ ทั้งที่ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยอมรับว่าครูจำนวนมาก ถูกกดดันเกินกำลัง เพราะระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่ซับซ้อน ขณะที่เจ้าหน้าที่ธุรการมีไม่เพียงพอ

การจากไปของครูมัท จึงไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ ว่า ระเบียบราชการสามารถทำลายทั้งสุขภาพจิตและชีวิตของคนทำงานได้

ถึงเวลาที่ระบบราชการ ต้องเปลี่ยน ?

เมื่อมองทั้ง 4 กรณีดังกล่าวร่วมกัน จะพบจุดร่วมสำคัญ คือ

  1. ทุกกรณีล้วนเกี่ยวข้องกับระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่ซับซ้อน

  2. ผู้ปฏิบัติงานล้วนมีเจตนาดีในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อประชาชนและหน่วยงาน

  3. ผลลัพธ์กลับกลายเป็นความสูญเสียอย่างหนักหน่วงต่อชีวิต วิชาชีพ และสูญเสียศักดิ์ศรี

สิ่งนี้ชี้ให้เห็นวิกฤตในเชิงโครงสร้างของระบบราชการไทย ระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันทุจริต แต่เมื่อถูกนำมาใช้โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงานและการตัดสินใจ ผู้ปฏิบัติมักถูกทิ้งให้อยู่ลำพังท่ามกลางกฎระเบียบที่แข็งทื่อ โดยไม่มีระบบสนับสนุนหรือเจ้าหน้าที่มืออาชีพด้านการเงิน–ธุรการมาช่วยเหลือ

ที่น่ากังวลคือ ระบบสอบสวนทางวินัยยังคงตีความแบบตรงไปตรงมา มองเพียงว่ าผิดระเบียบหรือไม่ ? โดยไม่ได้พิจารณาเจตนาว่า ทำเพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตน ผลลัพธ์คือ คนทำงานที่เจตนาดีกลับถูกลงโทษ ขณะที่คนที่สั่งการ หรือคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าอาจหลุดพ้นจากความรับผิดชอบ

จากจำเลยของระบบ สู่ ผู้สร้างนวัตกรรม

ท่ามกลางปัญหานี้ ได้มีการเสนอแนวคิดใหม่เพื่อหาทางออก เช่น Law of Efficiency หรือ “กฎหมายเพื่อประสิทธิภาพ” ที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำมาอธิบาย แนวคิดนี้ชี้ว่า การพิจารณาการทำงานของข้าราชการไม่ควรดูเพียงตัวบทระเบียบ แต่ควรดูผลลัพธ์ว่าการกระทำนั้นสร้างประโยชน์และความคุ้มค่าต่อส่วนรวมจริงหรือไม่ หากแนวคิดนี้ถูกบังคับใช้จริง กรณีหมอสุภัทร อาจถูกมองต่างออกไป เพราะแม้ไม่เดินตามระเบียบทุกข้อ แต่ผลลัพธ์คือประชาชนได้รับการตรวจโควิดอย่างรวดเร็วและช่วยควบคุมการระบาด

อีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจคือทฤษฎี Positive Deviance หรือ “การเบี่ยงเบนเชิงบวก” ที่ รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล ในฐานะนักวิจัยระบบสาธารณสุข เสนอว่า การละเมิดกฎ ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ เจตนาร้าย ต้องแยกให้ออกระหว่างการเบี่ยงเบนเพื่อหาทางแก้ปัญหาใหม่ กับการเบี่ยงเบนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

หากผู้ปฏิบัติทำไปเพื่อหานวัตกรรมและสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวม เขาไม่ควรถูกลงโทษโดยอัตโนมัติ แต่ควรได้รับการสนับสนุนและปรับปรุงระเบียบให้ทันสมัยแทน

ทั้ง 2 แนวคิดนี้สะท้อนสิ่งเดียวกัน คือถึงเวลาที่สังคมไทยต้องกล้าตั้งคำถามว่า ระเบียบราชการที่เราใช้อยู่นั้น ยังสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงหรือไม่ และควรปฏิรูปอย่างไรเพื่อให้เกิดทั้งความโปร่งใสและความยืดหยุ่นพร้อมกัน

4 กรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือสัญญาณเตือนว่า ระบบราชการไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต หากไม่รีบแก้ไข ระเบียบที่ตั้งใจทำให้โปร่งใส จะกลายเป็นกับดักที่พรากทั้งชีวิต ศักดิ์ศรี และความเชื่อมั่นในระบบราชการไปทีละน้อย

ทั้งที่แท้จริงแล้วระเบียบควรเป็นเครื่องมือเพื่อให้คนทำงานสามารถทำเพื่อประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนเหล่านั้นต้องตกเป็นจำเลยของระบบ การปฏิรูปจึงไม่ใช่เพียงความจำเป็น แต่คือเงื่อนไขของการรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทำงานในระบบราชการไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS