สธ. เร่งสร้างความมั่นใจ หลังองค์การอนามัยโลก ยืนยันข้อมูลไม่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด พร้อมฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเป้าหมาย
วันนี้ (15 มี.ค. 2564) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมควบคุมโรค ได้รวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดจากต่างประเทศ และองค์การอนามัยโลก ซึ่งยืนยันว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาไม่เกี่ยวกับการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ สามารถฉีดได้ เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่าสามารถเดินหน้าฉีดต่อไปได้ โดยบ่ายวันนี้ได้มีการประชุมคณะกรรมการวิชาการ เพื่อให้เกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น หากไม่มีข้อมูลขัดแย้ง พรุ่งนี้เริ่มฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไปในจังหวัดเป้าหมายตามแผน
อนุทินกล่าวต่อว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความพร้อมในการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยการฉีดวัคซีนให้กับผู้นำประเทศต้องได้รับคำยินยอมจากคณะกรรมการวิชาการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ได้เตรียมวัคซีนทั้งจากแอสตราเซเนกา และซิโนแวค เพื่อฉีดให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่สมัครใจ ตาม 8 ขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุข ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
“มีการจัดห้องสังเกตอาการ และกรมการแพทย์ได้จัดรถพยาบาลพร้อมส่งต่อไปยังโรงพยาบาลราชวิถีกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน โดย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ จะเป็นผู้ฉีดให้กับนายกรัฐมนตรี และจะรับการฉีดพร้อมกับอาจารย์แพทย์อาวุโส เช่น ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ จะร่วมกันฉีดครั้งนี้ด้วย”
การฉีดวัคซีนดังกล่าว ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ส่วนสถานบริการอื่น ๆ จะเริ่มฉีดวัคซีนจาก แอสตราเซเนกา ที่ได้รับการกระจายไปพร้อมกัน ขอให้มั่นใจว่าวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. มีความปลอดภัย และกระทรวงสาธารณสุขได้จัดระบบดูแลภายหลังการฉีดวัคซีนไว้พร้อมแล้ว
อนุทิน กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากแอสตราเซเนกา จำนวน 117,300 โดส ซึ่งจะเน้นฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงเป้าหมายที่อายุเกิน 60 ปี และจะได้รับจำนวนมากในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ขอยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 มีเพียงพอ ซึ่งวันที่ 20 มีนาคมนี้จะได้รับวัคซีนจากซิโนแวคอีก 800,000 โดส รวมทั้งได้เจรจาจัดหาวัคซีนจากชิโนแวคเพิ่มอีกจำนวน 5 ล้านโดส และได้มีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่น ๆ ที่สามารถนำส่งวัคซีนมายังประเทศไทย ก่อนที่วัคซีนจากแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทยจะผลิตออกมา เป็นการเสริมความเข้มแข็งของระบบการฉีดวัคซีนของประเทศ ซึ่งต้องรอบคอบและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน
สำหรับภาคเอกชนคาดว่าอีกไม่กี่เดือน จะสามารถติดต่อเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนที่ได้รับการผ่อนคลายจากสถานการณ์ฉุกเฉินมากขึ้นและใช้ในสถานการณ์ปกติได้ ซึ่งทาง อย. พร้อมให้ความร่วมมือ อำนวยความสะดวกในการนำเข้า รวมถึงกรมควบคุมโรคและกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะสนับสนุนเรื่องการอบรมและขึ้นทะเบียนโรงพยาบาลเอกชนที่มีความประสงค์ที่จะให้บริการประชาชน