วิจารณ์แซ่ด! นายกรัฐมนตรีแถลงโควิด นักนิเทศศาสตร์ มองการสื่อสารเป็นปลายทาง ต้นปัญหามาจากนโยบาย ชี้ สังคมอยากรู้เรื่องวัคซีน และแผนเปิดประเทศ
เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2564 รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยใน Active Talk ระบุว่าเห็นผลตอบรับทันทีในยุคสังคมออนไลน์ หลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ที่ทำให้ถูกวิจารณ์และมีเสียงกรีดร้องเกิดขึ้น เปรียบเทียบกับสถานการณ์ ของฝุ่น PM 2.5 ที่ได้ศึกษาวิจัยด้านการสื่อสารในภาวะวิกฤต พบว่าเสียงกรีดร้องของประชาชนในสถานการณ์นั้นไม่ได้เกิดมาจากฝุ่น PM 2.5 แต่เพราะการสื่อสารของรัฐและนโยบายที่ออกมาไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน
“โควิด-19 เป็นวิกฤตกันทั่วโลกจึงได้เห็นการเปรียบเทียบจากรัฐบาลประเทศอื่น การสื่อสารของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครั้งนี้ ก็ถือเป็นสไตล์ของท่าน พูดสไตล์ทหาร รักชาติ ถ้าคนเห็นต่างก็แปลว่าไม่รักชาติ แล้วก็พยายามบอกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจยากลำบาก”
รศ.พิจิตรา กล่าวว่า ที่จริงแล้วการสื่อสารเป็นประเด็นปลายทาง แต่ต้นทางต้องดูที่นโยบายเป็นหลัก ตอนนี้ประชาชนอยากรู้เรื่องวัคซีนมากที่สุด เพราะหลายประเทศได้วัคซีนไปแล้ว ในขณะที่ประเทศไทยได้วัคซีนมาจำนวนน้อยมาก และเมื่อเทียบกับการฉีดในสัดส่วนประชากรซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศอื่น ๆ อยากรู้ถึงมาตรการ ฟื้นฟูเยียวยา และเปิดประเทศ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจะกอบกู้สถานการณ์และคลี่คลาย ขณะเดียวกันมองว่าแม้การแถลงของนายกรัฐมนตรีจะมีเรื่องการจัดหาวัคซีนอยู่ แต่กลับถูกกลบด้วยประเด็นอื่น ๆ ที่แทรกระหว่างการแถลง และเกิดจากตัวรัฐบาลที่ขาดความน่าเชื่อถือ ประกอบกับการสื่อสารที่ไม่เคลียร์
“การสื่อสารในภาวะวิกฤตต้องอาศัยความไว้ใจ และความน่าเชื่อถือจากผู้ส่งสาร ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็อาจจะลดลงเพราะส่วนหนึ่งมีคนในคณะรัฐมนตรีติดโควิดด้วย”
ขณะที่การสื่อสารในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาก็มีความไม่แน่ชัดว่าจะปิดหรือไม่ปิด เดินทางหรือไม่อย่างไร ซึ่งก็เข้าใจว่านายกรัฐมนตรี ก็พยายามประนีประนอมเพราะมองว่าเศรษฐกิจตอนนี้เริ่มไม่ดีแล้ว
“ขณะเดียวกันการสื่อสารของนายกฯ ก็เหมือนสื่อออกมาในลักษณะว่าตัวเองเป็นเหยื่อเป็นผู้ถูกกระทำ ประชาชนเป็นภาระ ซึ่ง สถานการณ์นี้ ประชาชนอยากได้ผู้นำที่บอกให้ชัดเจน ว่าจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร”
เปรียบเทียบกับผู้นำในต่างประเทศที่สื่อสารในช่วงวิกฤต อย่างประเทศสิงคโปร์นายกรัฐมนตรี จ้องหน้าจอใช้การสื่อสารทางสายตาทำให้คนเชื่อถือเชื่อมั่นและเป็นลักษณะของการพูดกับประชาชนให้ไปกับเขาไปด้วยกัน เช่นเดียวกับนิวซีแลนด์และเยอรมนี ที่เน้นสื่อสารแบบ แคร์ประชาชน ในขณะที่ประเทศเกาหลีใต้ช่วงที่เกิดคลัสเตอร์ใหญ่ก็บอกกับประชาชน บนฐานของข้อเท็จจริงว่าติดจำนวนมาก แต่มีอะไรบ้างที่จะรองรับ ส่วนไต้หวันก็มาเป็นทีม วางแนวคิด สื่อสาร ลักษณะห่วงใย ปกป้อง ไม่สั่งการและไม่เบลมว่าตัวเองถูกกระทำ เหนื่อยล้าในการแก้ไขปัญหา
รศ.พิจิตรา ยังกล่าวถึงข้อเสนอแนะในการสื่อสารของรัฐบาลว่า 1.ให้ข้อเท็จจริง และทำงานอยู่บนข้อเท็จจริง ตรงประเด็น 2. แสดงให้เห็น Road Map เพื่อจะนำไปสู่ความหวัง การใช้คำคม คำหวานในตอนนี้ไม่เวิร์กแล้ว แต่การทำให้เห็นการแก้ปัญหา จะนำมาสู่ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจต่อรัฐบาลที่ดีที่สุด
ชม “ทีมแพทย์-สธ.” แบ่งงานสื่อสารประชาชน ต่อเนื่อง
นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้วการสื่อสารสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากกระทรวงสาธารณสุข ก็ถือว่ามีรูปแบบการสื่อสารแบบราชการ คือเป็นลักษณะประจำวัน (routine) จนคนรู้สึกชินชา และการ์ดตก แต่เรื่องที่เป็นประเด็นหัวใจสำคัญหลักที่คนอยากรู้ เช่น วัคซีนก็ไม่มีความชัดเจนมากพอ ส่วนที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมาร่วมวงในการแถลงข่าวด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก อาจารย์แพทย์อธิบายได้มีความเข้าใจง่าย และเห็นการแบ่งงานกันสื่อสาร
แต่เรื่องที่คนอยากรู้และสร้างความเชื่อมั่นก็คือเรื่องนโยบาย ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องเป็นคนพูด ประเด็นหลัก ๆ ที่คนอยากรู้และต้องทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นเพื่อความเชื่อมั่น คือ 1. แนวทางคลี่คลายสถานการณ์ 2. มาตรการเยียวยา และ 3. แผนการเปิดประเทศ