Policy Forum สะท้อนปัญหาการรับมือภัยพิบัติ มีข้อมูลเพียงพอ แต่กระจัดกระจาย ขาดคนจัดระเบียบ การใช้ข้อมูลยังไม่ดีพอ ข้อมูลที่จำเป็นส่งไปไม่ถึงพื้นที่ เสนอเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจำเป็น เปิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดความเปราะบางแต่ละพื้นที่
น้ำท่วม ไฟป่า ฝุ่นควัน… ปัญหาเดิม ๆ ที่วนเวียนมาไม่จบไม่สิ้นในทุกปี! สะท้อนถึงปัญหาการจัดการภัยพิบัติในรูปแบบเดิมไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป ถึงเวลาที่เราจะใช้ “ข้อมูล” ที่มีอยู่มาออกแบบนวัตกรรมการรับมือภัยพิบัติ ฟื้นคืนชีวิต จิตใจ และเศรษฐกิจของคนไทย
The Active – Policy Watch ไทยพีบีเอส ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ค้นหาเจาะลึกปัญหาภัยพิบัติ เพื่อไปสู่แนวทางและทิศทางการใช้ข้อมูลเพื่อจัดการปัญหาภัยพิบัติเรื้อรังใน “Policy Forum : Open Data Day 2025 – น้ำท่วม ฝุ่นควัน ไฟป่า : ถอดสมการ “ภัยพิบัติไม่รู้จบ” ของไทยด้วยข้อมูล” ที่ SCBX NEXT TECH ชั้น 4 สยามพารากอน

ภัยพิบัติเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ ทำไมเรายังรับมือได้ไม่ดีพอ
“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลบ่อย ความต่อเนื่องในการจัดการภัยพิบัติจึงไม่มี ทั้งที่รัฐต้องเป็นเจ้าภาพหลัก ทำให้เราเสียโอกาส ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้”
สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา
ในวันนี้เราเริ่มเห็นบทบาทของภาคประชาสังคม นักวิชาการ และประชาชน ที่ไม่อยากรอรัฐ เพื่อตั้งรับกับภัยพิบัติที่จะกลับมาอยู่ทุกปี อีกต่อไป “ข้อมูล” เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่จะทำให้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ที่การรับมือของเรายังไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ว่า “เรามีไม่เพียงพอ” แต่ผู้ร่วมเสวนาทั้งหมดมองเห็นคล้ายกันว่าคือ “การใช้ข้อมูลที่มีอยู่ ยังไม่ดีพอ”
รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีหน่วยงานจัดซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งไม่จำเป็นต้องจัดหามาเพิ่มอีกแล้ว เพียงแต่มีข้อมูลเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการกลับไปไม่ถึงเขา
ยกตัวอย่างเช่น “น้ำท่วม” ในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังเกิดภัยพิบัติ สิ่งที่ประชาชนต้องการรู้จะแตกต่างกันไป
- ก่อนเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่อง แผนที่เสี่ยง เพื่อเช็กว่าบ้านเขาตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่, ช่วงเวลาการเกิดน้ำท่วม, เส้นทางอพยพ, จุดจอดรถ และศูนย์อพยพ เพื่อให้เขาเตรียมความพร้อมในการหนี
- ระหว่างเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่อง การปฏิบัติตัวระหว่างอยู่กับภัยพิบัติ, ช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับน้ำท่วม จะต้องอยู่อีกกี่วัน และข้อมูลหน่วยกู้ภัย
- หลังเกิดภัยพิบัติ : ประชาชนจะอยากรู้เรื่องการเยียวยา
“ที่ผ่านมาเราส่ง Key Message เดียว ให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐ อาสาสมัคร และประชาชน โดยที่เขาอาจไม่ได้ต้องการ ซึ่ง ‘นักข่าว’ อาจเข้ามาช่วยปรับ Key Message ให้ตรงกับความต้องการของประชาชนได้”
รศ.ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ขณะที่ รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ มองว่า ข้อมูลที่มีอยู่ยังกระจัดกระจาย โดยยกกรณีการกระจายอำนาจที่เกิดขึ้นเพื่อให้แต่ละพื้นที่สามารถจัดการได้ด้วยศักยภาพของตัวเอง แต่ไม่ใช่การผลักภาระ ไม่ควรกระจายอำนาจจนทำให้แต่ละหน่วยงาน แต่ละท้องถิ่นขาดข้อมูล ต้องแบ่งปันข้อมูล โดยทุกคนต้องเข้า Open Data ได้ หากข้อมูลนั้นสามารถเปิดเผยได้โดยไม่ละเมิด “กฎหมาย PDPA” ควรเปิดให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาดูและนำไปใช้เพื่อให้บริหารจัดการได้
“ข้อมูล” อย่างเดียวไม่พอ ต้องเชื่อมต่อระหว่างกันด้วย
ในหน้างานของการจัดการภัยพิบัติมักเกิดสิ่งที่แม้แต่คนทำข้อมูลก็ยังไม่คาดคิด ในยามวิกฤตคนจัดระเบียบข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และจัดลำดับความสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ จึงสำคัญมากเพราะเราไม่เคยซ้อมอพยพบนเงื่อนไขจริง ๆ เช่น การซ้อมหนีสึนามิ เรามักขับรถในการซ้อม แต่ในสถานการณ์จริง รถจะติดมาก ไม่นับว่าต้องเจอกับรถที่ขับสวนเข้า-ออกไปรับคนในครอบครัวที่อยู่กันคนละที่อีก ดังนั้น เราไม่อาจหนีได้ทัน
สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา เล่าประสบการณ์ในฐานะอาสาสมัครให้ฟังว่า น้ำท่วมเชียงรายที่ผ่านมา มีน้องคนหนึ่งคอยรับโทรศัพท์จากผู้ประสบภัยแล้วจัดระเบียบข้อมูล ทำให้เขาสามารถประเมินได้ว่ามีบ้านหลังไหนที่วิกฤตบ้าง ซึ่งขณะนั้นอาสาสมัครเราทำได้แค่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่รถหรือเรือพายเข้าไปถึง แต่ในบ้านที่น้ำท่วมหนัก จำเป็นต้องให้หน่วยซีลช่วยเหลือ
ขณะนั้นเมื่อหน่วยซีลมาถึงที่เชียงราย คิดว่าจะเริ่มให้ความช่วยเหลือในรุ่งเช้า แต่เด็กคนนั้นบอกว่าไม่ทัน เขาประเมินจากข้อมูลแล้วคาดการณ์ว่า น้ำคงระดับอกแล้ว ถ้าไม่ช่วยในคืนนี้คงไม่ทัน ทำให้หน่วยซีลเริ่มปฏิบัติการในเที่ยงคืนวันนั้น และเข้าช่วยเหลือได้ทัน
นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ช่องว่างในการจัดการภัยพพิบัติตอนนี้อยู่ที่ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ข้อมูลนั้นเชื่อมต่อกันในแต่ละทีม เพราะถ้าเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถทำงานแข่งกับเวลาได้
สะท้อนว่าสิ่งที่เราต้องการตอนนี้คือ “คนจัดระเบียบ” ซึ่ง “รศ.ทวิดา” ให้ความเห็นว่า “นักวิชาการ” อาจเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด เพราะเขามีทักษะ มีเวลา สามารถขอทุนได้ และถ้าทำสำเร็จจะได้ตำแหน่งวิชาการด้วย ถือว่าเรื่องนี้จะทำให้ win – win ทั้งคู่
“ข้อมูล” ช่วยแก้ปัญหาให้ไปในทิศทางเดียวกัน
ภาพจากดาวเทียมบริเวณสนามบินเชียงราย ทำให้เห็นว่าพื้นที่ไหนที่เราควรเข้าไปบริหารจัดการบ้าง และภาพจุดความร้อน (Hotspot) ที่เชียงใหม่ ฉายให้เห็นว่าพื้นที่ไหนถูกไฟเผาไปแล้วบ้าง แม้ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยผู้ประสบภัยได้โดยตรง แต่จะช่วยให้แก้ปัญหาไปในทิศทางเดียวกัน
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA บอกว่า ภาพรวมจุดความร้อนในแต่ละปี สะท้อนให้เห็นการเผาไหม้แบบเป็นแพตเทิล (Pattern) ที่จะเกิดขึ้นที่กัมพูชาก่อน แล้วเข้ามาที่ไทยในเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน ทุกปี
แต่ในปีนี้ภาพบนดาวเทียมสะท้อน พบว่า เกิดการเผาไหม้ตั้งแต่ต้นปีมากถึง 3 เท่า จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่าวิกฤตฝุ่นรุนแรงขึ้นตั้งแต่ต้นปี และสะท้อนให้เห็นว่า “มือเผา” ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มาเผาเดือนอื่นแทน
“เราต้องติดตามสถานการณ์รายปี แล้วเอาข้อมูลมาปรับเปลี่ยนเป็นนโยบาย และต้องมีการบริหารจัดการที่ถูกต้อง จะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA
นอกจากนี้ “รศ.ชูโชค” ยังอธิบายให้เห็นภาพของข้อมูล ที่แม้จะไม่สามารถช่วยผู้ประสบภัยได้โดยตรง แต่ช่วยให้เข้าใจปัญหาร่วมกัน นำไปสู่การแก้ปัญหาในทิศทางเดียวกัน (Pain Points Solution) ว่า ข้อมูลจากการสำรวจฉายให้เห็นว่าปัญหาของฝุ่นในภาคเหนือคือเศษชีวมวลจากภาคการเกษตรที่ยังไม่ได้จัดการ ดังนั้น ถ้าจะจัดการเรื่องฝุ่น ต้องจัดการเศษซากเหล่านั้นให้ได้ หรือสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงใหม่ สาเหตุหลักมาจากแม่น้ำปิงล้นตลิ่ง เพราะการขยายตัวของเมือง ทำให้หน้าตัดของแม่น้ำน้อยลง การจัดการน้ำท่วมที่เชียงใหม่จึงอาจเกี่ยวพันกับผังเมือง
ก้าวต่อไปของการจัดการภัยพิบัติด้วย “ข้อมูล”
โจทย์ใหญ่ของการแก้ปัญหาภัยพิบัติต่อจากนี้ คือ “ภาวะโลกร้อน” ที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน รวมถึง “กฎหมาย PDPA” ที่อาจทำให้การรับมือภัยพิบัติมีอุปสรรคอยู่บ้าง
ภัยพิบัติมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก การจัดการภัยพิบัติต่อจากนี้ ในมุมมองของผู้ร่วมเสวนา มองว่า
- ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับตัวเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารขอ
- ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานได้จริง
- มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียน หรือแจ้งเหตุภัยพิบัติ ที่สามารถทำหน้าที่คัดกรองและจัดระเบียบข้อมูลได้ เพื่อสรุปข้อมูล ประเมินความเสี่ยง และช่วยเหลือต่อไป
- รวมข้อมูลภัยพิบัติให้ประชาชนสามารถเช็กได้ง่าย และมีระบบแจ้งเตือนหากตกอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ผ่านทั้งช่องทางดิจิทัล เช่น โทรศัพท์มือถือ และ การแจ้งเตือนแบบอนาล็อก (Analog) เพื่อแจ้งเตือนให้กับประชาชนได้อย่างไม่ตกหล่น กรณีที่สัญญาณดิจิทัลล่ม
- ลดความเปราะบางและความล่อแหลมของแต่ละพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติ
- แก้ปัญหาภัยพิบัติโดยยึดหลัก “Pain Points Solution” เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
- ปรับปรุงการบริหารจัดการไฟป่า
- อำพรางกล้องจับภาพ “มือเผาป่า” เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่มีการอำพรางกล้อง ทำให้คนการจับกุมคนเผาป่าเป็นไปได้ยาก
- มี “สถานีน้ำ” ไม่ครอบคลุม ทำให้บางพื้นที่ไม่มีน้ำดับไฟป่า หากจะขนไปก็ยาก ทำได้อย่างล่าช้า
“ภัยพิบัติเกิดขึ้นอีกได้ แต่แค่ไม่รู้จะเกิดอย่างไร เกิดขึ้นที่ไหน สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้อย่างไรให้กระทบคนและเกิดความสูญเสียให้น้อยที่สุด นี่น่าจะเป็นโจทย์ที่เราต้องมาเขียนสมการใหม่ แล้วมาช่วยกันแกะบทเรียนตรงนี้ด้วยการใช้ข้อมูล แต่การเปิดข้อมูลให้ทุกคนมาใช้งานได้ อาจต้องมากกว่านั้นไหม ข้อมูลที่มี คนอื่นต้องสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้อง ‘Cleansing’ ใหม่ ไม่ต้องทำซ้ำกัน ให้เสียทั้งงบประมาณ เวลา และต้องมี ‘Portal’ ที่แชร์ข้อมูล ให้ทุกคนใช้ซ้ำได้ ทั้งหมดนี้เราต้องผนวกเข้าด้วยกัน แล้วเราจะจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA
