‘หนีน้ำกางเต็นท์บนถนน’ สะท้อนปัญหาระบบจัดการน้ำไทย เน้นรับมือ แต่ไม่ป้องกัน

นักวิชาการชี้น้ำท่วมภาคกลางซ้ำซาก เหตุรัฐบริหารน้ำไม่สอดคล้องสภาพอากาศ ขาดการสื่อสารถึงพื้นที่ และรัฐยังมองน้ำท่วมเป็นเรื่องชั่วคราว ถึงเวลากระจายอำนาจให้พื้นที่จัดการตนเอง

วันนี้ (9 พ.ย. 2568) กรมชลประทานรายงานสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยาล่าสุด อิทธิพลจากพายุ ‘คัลแมกี’ ทำให้เกิดฝนตกหนักบริเวณตอนบนของลุ่มน้ำ ส่งผลให้น้ำเหนือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนจะไหลหลากลงสู่พื้นที่ตอนล่าง โดยที่สถานีวัดน้ำ C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,948 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และที่สถานี Ct.25 แม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 306 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

กรมชลประทานจึงได้ปรับแผนการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเพิ่มอัตราการระบายจาก 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเป็น 2,750 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่เวลา 03.00 น. ของวันนี้ และจะคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่องเพื่อควบคุมระดับน้ำทางตอนล่างไม่ให้ล้นคันกั้นน้ำ

ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำหลายจุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง และชัยนาท เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณคลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน วัดสิงห์ อำเภออินทร์บุรี ตลอดจนพื้นที่ลุ่มต่ำในอำเภอเมืองอ่างทอง ป่าโมก ไชโย วิเศษชัยชาญ และโพธิ์ทอง รวมถึงพื้นที่ริมแม่น้ำในอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมแนะนำให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และติดตามประกาศแจ้งเตือนจากกรมชลประทานอย่างต่อเนื่อง หากมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอีกในระยะต่อไป

ข้อมูลคือหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหา

ศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิชาการด้านการจัดการภัยพิบัติ มองว่าสาเหตุสำคัญของสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากฝนตกหนักเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการจัดการน้ำที่ไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในปัจจุบัน เธออธิบายว่าในช่วงปลายฤดูฝนที่ผ่านมา ภาครัฐได้หน่วงน้ำไว้ในเขื่อนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อกรุงเทพฯ และภาคกลางตอนล่าง แต่เมื่อฝนจากทางเหนือยังคงตกหนักต่อเนื่อง น้ำที่ไหลลงมาสมทบจึงกลายเป็นภาระเกินขีดความสามารถของระบบรองรับเดิม การระบายน้ำออกจึงกลายเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะทุกพื้นที่เกือบเต็มความจุแล้ว

สถานการณ์น้ำทุ่งในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้อมูล​ ณ วันที่ 9 พ.ย. 2568
สะท้อนให้เห็นพื้นที่น้ำท่วมถึงซึ่งกินพื้นที่ในระดับอำเภอ ทำให้การอพยพผู้คนจำนวนมากเป็นไปได้ยาก

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของภาวะโลกรวนที่ชัดเจนขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฤดูฝนยาวนานขึ้น ฝนตกไม่สม่ำเสมอและมีความรุนแรงเฉพาะจุดมากขึ้น ระบบการจัดการน้ำที่เคยใช้ได้ในอดีตจึงไม่เพียงพออีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ศิรินันต์ มองว่า ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการ ‘รับมือ’ มากกว่าการ ‘ป้องกัน’ ทั้งที่ควรมีการวางแผนคำนวณปริมาณน้ำสูงสุดและการระบายล่วงหน้าให้แม่นยำ เพื่อให้ระบบน้ำทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำสามารถทำงานประสานกันได้จริง

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือการขาดความโปร่งใสและการสื่อสารข้อมูลที่ทั่วถึงในระดับพื้นที่ แม้รัฐจะมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่รับน้ำและแผนที่น้ำท่วมจากหน่วยงานอย่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แต่ข้อมูลเหล่านี้กลับไม่ถูกนำมาใช้วางแผนเชิงปฏิบัติในระดับชุมชน ขณะเดียวกันก็ไม่มีการจัดทำ ‘แผนที่ความเสี่ยง’ (Risk Map) ที่ระบุแน่ชัดว่าพื้นที่ใดเป็นเขตอยู่อาศัยที่ต้องได้รับการปกป้อง หรือพื้นที่ใดควรเป็นทุ่งรับน้ำตามธรรมชาติ ความไม่ชัดเจนนี้ทำให้หลายชุมชนต้องรับผลกระทบซ้ำซากทุกปี โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ภาพชาวบ้านจำนวนมากที่ต้องอพยพขึ้นไปตั้งเต็นท์อยู่ริมถนนกลายเป็นสิ่งคุ้นตาในช่วงน้ำหลาก เพราะพื้นที่สูงในเขตชุมชนมีจำกัดและไม่เคยมีการประกาศจุดปลอดภัยถาวรอย่างเป็นระบบ การหลบภัยจึงเกิดขึ้นตามความสะดวกของแต่ละครอบครัว ถนนกลายเป็นที่พักชั่วคราวที่ปลอดภัยกว่าทุ่งนา แต่ก็ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ทั้งน้ำดื่ม ห้องน้ำ และการช่วยเหลือด้านสาธารณสุข ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สะท้อนถึงการขาดการวางแผนในระยะยาวของรัฐที่ยังไม่สามารถสร้างระบบรองรับภัยพิบัติที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้จริง

“ตอนนี้ยังไม่มีแผนที่จุดปลอดภัยหรือศูนย์พักพิงถาวรระดับหมู่บ้าน ทุกอย่างต้องอาศัยการตกลงกันเฉพาะหน้า ใครพอมีพื้นที่สูงกว่าก็ย้ายไปตั้งเต็นท์อยู่ริมถนนกันเอง”

ศิรินันต์ สุวรรณโมลี

ศิรินันต์ เสนอว่า การแก้ปัญหาน้ำท่วมต้องเริ่มจากการยอมรับข้อเท็จจริงว่า ไม่สามารถป้องกันไม่ให้น้ำเข้าทุ่งได้ทั้งหมด สิ่งที่ควรทำคือกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนว่าโซนใดจะใช้เป็นทุ่งรับน้ำ โซนใดจะต้องได้รับการปกป้องในฐานะพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งมีมาตรการชดเชยให้ผู้ที่เสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เช่น เกษตรกรที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ในช่วงน้ำหลาก การจ่ายเงินช่วยเหลือในปัจจุบันยังไม่เพียงพอและไม่สอดคล้องกับความเสียหายจริง ขณะที่ระบบการชดเชยอย่างเป็นธรรมและต่อเนื่องยังไม่เกิดขึ้น

แม้จะมีกฎหมายและนโยบายรองรับในระดับหนึ่ง เช่น โครงการจัดการน้ำของรัฐ หรือกลไกกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ปัญหาสำคัญคือการสื่อสารและการเข้าถึงงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังมีข้อจำกัด หลายพื้นที่ไม่รู้ช่องทางการขอรับงบประมาณหรือขั้นตอนการดำเนินงาน ทำให้มาตรการป้องกันในระดับชุมชนไม่เกิดขึ้นจริง การกระจายอำนาจจึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดมากกว่าการปฏิบัติ

โลกรวน: รัฐต้องปรับแผนให้อยู่รอดในภัยพิบัติ

ในมุมของ ศิรินันต์ ปัญหาน้ำท่วมในภาคกลางไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภูมิอากาศ แต่เป็นผลจากวิธีคิดของระบบราชการที่ยังมองภัยพิบัติเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปก็กลับสู่กิจวัตรเดิม โดยไม่ใช้เวลาช่วงที่เหลือของปีในการวางแผนหรือเตรียมระบบป้องกันให้เข้มแข็งกว่าเดิม เธอมองว่าการจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ต้องเริ่มจากการสร้างความรู้และความเข้าใจแก่คนในพื้นที่ ให้สามารถใช้ข้อมูลและร่วมวางแผนได้ด้วยตนเอง

“ปัญหาที่แผนจัดการน้ำยังไม่เดินหน้าต่อ เพราะวิธีคิดของรัฐยังมองว่าน้ำท่วมเป็นเรื่องชั่วคราว แค่ไม่กี่วันก็ผ่าน ทั้งที่บางพื้นที่ท่วมนานหลายเดือน …ท้ายที่สุดคือเรื่องอำนาจ คนในพื้นที่ยังคุ้นกับการรอความช่วยเหลือจากรัฐ เห็นว่าการจัดการเองเป็นเรื่องเกินกำลัง พอไม่มีอำนาจตัดสินใจ ระบบก็วนซ้ำอยู่แบบเดิมทุกปี”

ศิรินันต์ สุวรรณโมลี

นอกจากนี้ ยังควรมีการออกแบบแผนโซนนิ่งใหม่ในทุกชุมชน เพื่อกำหนดพื้นที่ปลอดภัยที่สามารถรองรับผู้คนในช่วงน้ำหลากโดยไม่ต้องย้ายไกลจากบ้านเดิม เช่น การใช้พื้นที่สาธารณะสูง วัด โรงเรียน หรืออาคารราชการเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมระบบน้ำ ไฟฟ้า และการสื่อสารที่พร้อมใช้งาน เพราะในทางปฏิบัติ ไม่มีทางอพยพคนทั้งอำเภอไปอยู่ในที่อื่นได้ครบทุกคน โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคกลางเป็นที่ราบเรียบและน้ำท่วมกินบริเวณกว้าง

ท้ายที่สุด ศิรินันต์ ย้ำว่า การจัดการน้ำต้องเปลี่ยนจากการรอรับมือเมื่อเกิดภัยพิบัติ มาเป็นการสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบทั้งหมด ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับหมู่บ้าน เพราะในยุคที่สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป ประเทศต้องมีทั้งระบบข้อมูลที่โปร่งใส แผนงานที่ชัดเจน งบประมาณที่เข้าถึงได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง หากยังปล่อยให้การบริหารอยู่ในมือของหน่วยงานกลางโดยไม่มีการกระจายอำนาจลงสู่พื้นที่ สังคมไทยก็จะยังต้องเผชิญน้ำท่วมซ้ำซากปีแล้วปีเล่าโดยไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรเดิมได้เลย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active