ตั้งคณะกรรมการถก ยกเลิกรับนักเรียนพิการทางสติปัญญา ในชั้นอนุบาล ‘รร.ปัญญานุกูล’ อ้าง อายุน้อยเกินไป-ดูแลลำบาก ขณะที่ ครู ห่วงเด็กไร้ที่เรียน พ่อแม่แบกรับภาระ ย้ำตัดโอกาสการศึกษาเด็กเล็ก ไม่ใช่การแก้ปัญหา ด้าน ‘รองเลขาฯ กพฐ.’ ยัน เป็นไปไม่ได้ยกเลิกรับเข้าเรียน แต่ขอหาแนวทางที่ดีที่สุด ย้ำการตัดสินใจ ยึดประโยชน์เด็กเป็นหลัก
จากกรณีที่ สำนักการศึกษาพิเศษ ภายใต้การกำกับของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณายกเลิกการรับนักเรียนพิการทางสติปัญญา ระดับชั้นอนุบาล ช่วงอายุ 3-5 ปี ในโรงเรียน เฉพาะผู้พิการด้านสติปัญญา หรือกลุ่ม โรงเรียนปัญญานุกูล นั้น
The Active พูดคุยกับ ครูเอิร์น – นลินรัตน์ ตู้ทับทิม ครูผู้สอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการลิดรอนสิทธิในการเรียนรู้ของเด็กพิเศษที่จะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษารุนแรงมากขึ้น
หากเด็กทั่วไปเรียนชั้นอนุบาลได้
แล้วทำไม ? เด็กบกพร่องทางสติปัญญาถึงเรียนไม่ได้
ครูเอิร์น อธิบายว่า โรงเรียนปัญญานุกูล คือโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบการศึกษาพิเศษเช่นเดียวกับศูนย์การศึกษาพิเศษ แต่การยกเลิกระดับอนุบาลในโรงเรียนปัญญานุกูล แล้วให้เด็กไปอยู่เฉพาะใน ศูนย์การศึกษาพิเศษ จะยิ่งทำให้จำนวนที่นั่งเรียนลดลง เนื่องจากศูนย์การศึกษาพิเศษมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และจำนวนบุคลากรอยู่แล้ว โดยเฉพาะในบางจังหวัดหรือบางเขตพื้นที่ ซึ่งหากยกเลิกจริง จะทำให้โอกาสในการเข้าเรียนในโรงเรียนปัญญานุกูลที่มีจำนวนถึง 19 แห่งทั่วประเทศถูดลิดรอนไป

จากประสบการณ์ของครูเอิร์น ระบุว่า ศูนย์การศึกษาพิเศษหลายแห่งไม่สามารถรองรับเด็กได้ หากมีจำนวนมาก แม้บางพื้นที่จะมีครูที่ยืนยันว่าเปิดรับตลอดปี แต่เมื่อผู้ปกครองติดต่อขอที่เรียน บางครั้งได้รับคำตอบว่าเต็มโควตาการรับนักเรียน หรือบอกว่าเด็กยังไม่สามารถเรียนร่วมได้ เนื่องจากมีปัญหาพฤติกรรมหรือการสื่อสาร ทำให้เด็กจำนวนมากต้องอยู่บ้าน ทั้งที่ควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปฐมวัย
ในความกังวลของผู้ปกครองก็มีอยู่หลายประการ ทั้งคำถามเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานว่าเหตุใดเด็กทั่วไปสามารถเรียนอนุบาลได้ แต่เด็กพิการทางสติปัญญากลับไม่มีสิทธิดังกล่าว ทั้งที่ช่วงปฐมวัยเป็นวัยสำคัญต่อการพัฒนา โดยเฉพาะด้านการสื่อสารและพฤติกรรม เด็กในช่วงวัยนี้ควรเน้นกิจกรรมการเล่น การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมถึงเป็นพื้นที่ให้ผู้ปกครองได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลเด็ก หากยกเลิกจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการเข้าถึงการศึกษาที่เดิมก็ยากอยู่แล้ว
ครูเอิร์น ยังชี้ว่า หากมีการยกเลิกจริง ผลกระทบจะไม่ใช่เพียงการหาที่เรียนยากขึ้น แต่จะกระทบต่อกระบวนการ “Early Intervention” หรือการช่วยเหลือและกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่ระยะแรก หากเด็กไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที พัฒนาการในระยะถัดไปจะยิ่งแก้ไขได้ยากขึ้น และภาระจะถูกผลักไปสู่ครอบครัว ผู้ปกครองจำนวนมากอาจต้องลาออกจากงานเพื่อดูแลและฝึกเด็กเอง ทั้งที่ไม่ได้มีความรู้หรือทักษะเฉพาะทาง และการฝึกเด็กพิการทางสติปัญญาไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ
สำหรับเหตุผลของฝ่ายนโยบายที่ใช้ประกอบการพิจารณายกเลิก ครูเอิร์น ระบุว่า มีการให้เหตุผลว่าเด็กอายุน้อยเกินไป สื่อสารไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และมีข้อกังวลเรื่องการดูแลเมื่อเจ็บป่วย แต่เธอตั้งคำถามว่า ภารกิจเหล่านี้ควรเป็นหน้าที่โดยตรงของระบบการศึกษาพิเศษหรือไม่ และหากจะยกเลิกจริง รัฐต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีกลไกรองรับที่เพียงพอ ไม่ใช่เพียงการตัดเด็กออกจากระบบโดยไม่มีทางเลือก
“ถ้าจะไม่มีที่ให้เด็ก ถ้าคุณจะยุบที่นี่จริง ๆ [ชั้นอนุบาลโรงเรียนปัญญานุกูล] คุณต้องมีที่อื่นให้เด็กไป คุณต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่าเด็กจะไปอยู่ที่ไหน แล้วจำนวนรองรับได้เพียงพอจริงหรือไม่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองว่าเมื่อ รร.ปัญญานุกูล ปิดรับระดับอนุบาล แล้วศูนย์การศึกษาพิเศษของจะรองรับลูกของเขาได้จริง ๆ”
ครูเอิร์น – นลินรัตน์ ตู้ทับทิม
ตัดโอกาสการศึกษาของเด็กเล็ก ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา
การให้การศึกษาในช่วงปฐมวัยเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาการสมอง ทั้งเด็กทั่วไปและเด็กพิเศษ สมองมีการสร้างเครือข่ายประสาทอย่างรวดเร็ว การให้ Early Intervention ตั้งแต่อายุ 0 – 3 ปี ซึ่งในไทยมีการขยายไปถึง 6 ปี จะช่วยลดความรุนแรงของความบกพร่อง เพิ่มโอกาสในการช่วยเหลือตัวเอง และลดปัญหาในระยะยาว หากปล่อยให้พลาดช่วงเวลานี้ ปัญหาจะยิ่งสะสมและรุนแรงขึ้น ขณะที่การศึกษาช่วงปฐมวัย (Early childhood) ของไทยครอบคลุมอายุ 0 – 6 ปี ขณะที่ในต่างประเทศบางแห่งจะครอบคลุมที่ 8 ปี
ในข้อเสนอเชิงนโยบาย ครูเอิร์น เห็นว่า รัฐควรเพิ่มบุคลากรเฉพาะทางอย่างจริงจัง ทั้งครูผู้ช่วยและทีมสหวิชาชีพให้ครบถ้วนตามมาตรฐาน ไม่ใช่เพียงเขียนไว้ในกฎหมาย โดยอัตราส่วนตามหลักเกณฑ์ เด็กพิการทางสติปัญญาควรอยู่ที่ครู 1 คนต่อนักเรียน 7 คน และเด็กออทิสติกที่ 1 ต่อ 3 คน พร้อมทำงานร่วมกับผู้ปกครองในลักษณะทีมเวิร์ก ไม่ใช่โยนภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
จากประสบการณ์การทำงาน ครูเอิร์น ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในข้อกฎหมาย ข้อบังคับจะระบุว่า ต้องจัดสรรให้มีทีมสหวิชาชีพ แต่ในความเป็นจริงหลายศูนย์มีบุคลากรไม่ครบ ครูการศึกษาพิเศษต้องทำหน้าที่แทบทุกอย่าง ตั้งแต่นักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด นักจิตวิทยา ไปจนถึงพี่เลี้ยง ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำของศูนย์การศึกษาพิเศษแต่ละแห่ง ทั้งที่อยู่ภายใต้สังกัดเดียวกัน และทำให้ภาระตกอยู่กับผู้ปกครองมากขึ้น
ท้ายที่สุด ครูเอิร์น จึงเรียกร้องให้รัฐยึดหลักสิทธิเด็กและ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD) เป็นฐานของการกำหนดนโยบาย พร้อมตั้งคำถามว่า การยกเลิกการรับเด็กเล็กออกจากระบบการศึกษา สอดคล้องกับหลักสิทธิหรือไม่ พร้อมย้ำว่าเด็กไม่ควรเป็นผลลัพธ์ของความล้มเหลวของผู้ใหญ่ การตัดเด็กพิการออกจากระบบ ไม่ได้ทำให้ระบบดีขึ้น แต่กำลังสร้างปัญหาใหม่จากความไม่พร้อมของรัฐเอง ทั้งยังทำให้สังคมพลาดโอกาสในการเรียนรู้และยอมรับความหลากหลายตั้งแต่วัยเยาว์
สิ่งที่รัฐทำอยู่มันขัดแย้งกับ CRPD หรือเปล่า? การตัดเด็กเล็กออกจากระบบ ไม่ได้ทำให้ระบบดีขึ้น แต่คุณกำลังสร้างปัญหาใหม่จากความไม่พร้อมของคุณต่างหาก แล้วเด็กไม่ควรเป็นผลลัพธ์ความล้มเหลวของผู้ใหญ่ ถ้ามีบริบทอะไรที่ทำให้เราติดขัด เราก็ควรจะย้อนกลับไปแก้ไข ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันแบบนี้
ครูเอิร์น -นลินรัตน์ ตู้ทับทิม
สำหรับขั้นตอนการพิจารณาที่เกิดขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ ขณะนี้ (22 ธันวาคม 2568) ยังเป็นเพียงมติพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการยกเลิกรับนักเรียนชั้นอนุบาล สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ภายใต้สำนักงานการบริหารการศึกษาพิเศษ ซึ่งยังมีขั้นตอนการพิจารณาในลำดับถัดไป และ ยังไม่ถือเป็นข้อยุติสุดท้าย
สพฐ. ยัง ยังไร้ข้อสรุป ยันการตัดสินใจยึดประโยชน์เด็กเป็นหลัก
ล่าสุด วันนี้ (22 ธ.ค. 68) ภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ยังไม่มีมติสิ้นสุดว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร เป็นเพียงการหารือเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหา เนื่องจากมีข้อห่วงใยเรื่องการดูแลเด็กเล็กที่มีความพิการทางสติปัญญา ซึ่งโรงเรียนในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ร้อยละ 90 ส่วนใหญ่ เป็นโรงเรียนอยู่ประจำ จึงมองกันว่า การที่เด็กเล็กระดับอนุบาลต้องห่างพ่อแม่ มาอยู่โรงเรียนประจำ จะมีความเหมาะสมและมีการดูแลอย่างดีเหมือนอยู่ที่บ้านหรือไม่
ภัทริยาวรรณ ยังเสริมว่า การหารือเรื่องดังกล่าว ได้มีการพูดคุย หาแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม โดยมีข้อเสนอแนะว่า ในส่วนของเด็กเล็กอาจให้เรียนแบบไปกลับก่อน ไม่ต้องมาอยู่ประจำ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ข้อยุติ โดยต้องหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูข้อเสนอแนะในหลายมุมมอง การตัดสินใจทุกอย่างจะยึดประโยชน์ของเด็กเป็นหลัก แต่เรื่องที่จะยกเลิก ไม่รับเข้าเรียนเลย คงเป็นไปไม่ได้แน่ เพียงแต่ตอนนี้ต้องหาแนวทางที่ดีที่สุด
