รพ.สต.ท่าตอนคัดกรองชาวบ้านริมน้ำกก ยังไม่พบผู้ป่วยโดยตรง

เผยมาตรการเชิงรุก ลดความตื่นตระหนก ‘อสม.’ แกนหลักสื่อสาร ขณะเด็กๆ เปลี่ยนพฤติกรรมเลิกเล่นน้ำ จับตาทุกครัวเรือน เก็บข้อมูลแหล่งน้ำ-อาชีพ สร้างฐานข้อมูลเฝ้าระวัง ขณะที่ ศิยาภิบาล บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรเผยยังไม่มีหน่วยงานปฐมภูมิทำงานเชิงรุก ชี้อาการป่วยเพิ่มขึ้นหลังน้ำท่วม วอนสาธารณสุขหาสาเหตุ

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2568 The Active ได้ลงพื้นที่สำรวจการทำงานของระบบสุขภาพปฐมภูมิในชุมชนตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์หลังจากที่พื้นที่นี้พบการปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกก

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่พบผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ปนเปื้อนสารหนูครั้งนี้ แม้จะมีบางรายที่มีอาการน่าสงสัย แต่เมื่อทำการสอบสวนและซักประวัติอย่างละเอียดแล้ว พบว่าอาการเหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อนจากแม่น้ำโดยตรง

ขณะที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารข้อมูลสุขภาพให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนตระหนักรู้แต่ไม่เกิดความตื่นตระหนก โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้สูงอายุ เด็ก และหญิงตั้งครรภ์

การสำรวจในวันนี้ (2 มิ.ย.2568) พบว่าพฤติกรรมของเด็กๆ ในหมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลง จากที่เดือนก่อนยังลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำกกตามปกติ แต่ปัจจุบันพวกเขาเลือกที่จะอยู่บ้านและไม่ลงเล่นน้ำเหมือนเคย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีการรับรู้และตระหนักในเรื่องสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

อนัญญา โชติรักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินการคัดกรองประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำในแม่น้ำกก โดยเป็นมาตรการเชิงรุกเพื่อลดความตระหนกและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในชุมชน หลังจากมีข่าวการพบผู้ป่วยและสารปนเปื้อนในพื้นที่ใกล้เคียง

“การคัดกรองครั้งนี้ เราให้ อสม. เข้าไปดำเนินการในแต่ละชุมชนของตนเอง เพื่อประเมินกลุ่มเสี่ยงเบื้องต้น” ผอ.รพ.สต.ท่าตอน กล่าว

โดยหน่วย อสม.ได้ลงพื้นที่เพื่อคัดกรองข้อมูลในแต่ละครัวเรือน เก็บข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน การประกอบอาชีพของสมาชิกในครอบครัว และการใช้น้ำจากแม่น้ำกก ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการเฝ้าระวังและติดตามสุขภาพของชุมชนอย่างใกล้ชิดต่อไป

เหตุผลที่สาธารณสุขอำเภอต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพื้นที่ริมแม่น้ำกกมีความกว้างและระยะทางไกล ทำให้อาจมีชาวบ้านรับรู้ข่าวสารจากชุมชนอื่นๆ ที่พบปริมาณสารปนเปื้อนสูงและเริ่มมีผู้ป่วยเกิดขึ้น หน่วยงานสาธารณสุขจึงได้เร่งออกแบบแบบฟอร์มประเมินความเสี่ยงเพื่อใช้แยกกลุ่มตั้งแต่ต้นทาง โดยจำแนกประชาชนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเสี่ยงสูง กลุ่มเสี่ยงปานกลาง และกลุ่มเสี่ยงต่ำ 

การจำแนกกลุ่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสื่อสารกับประชาชนมีความชัดเจน และลดความสับสนที่เกิดจากอาการบางอย่าง เช่น ผื่น หรืออาการผิดปกติทั่วไป ซึ่งยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับน้ำหรือไม่

“บางรายที่มีอาการผื่นหรือผิดปกติอื่นๆ เมื่อสอบถามข้อมูลสุขภาพโดยละเอียดแล้ว พบว่าสาเหตุอาจไม่เกี่ยวกับน้ำโดยตรง” เธอกล่าว พร้อมเน้นย้ำว่าการวินิจฉัยต้องอาศัยข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วน และประชาชนควรรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานอย่างมีวิจารณญาณ

แม้ว่าฝ่ายสาธารณสุขจะมีบทบาทในการดูแลรักษาและคัดกรองที่ปลายทาง แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าตอนย้ำว่า สาเหตุของปัญหาอาจไม่ได้เกิดในพื้นที่โดยตรง หากแต่มีต้นตอมาจากนอกพื้นที่หรือนอกประเทศ ซึ่งเกินขอบเขตอำนาจของหน่วยงานท้องถิ่น

“เราอยากฝากถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ช่วยเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ชาวบ้านสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ กลับมาทำมาค้าขายได้เหมือนเดิม” เธอกล่าว

ผอ.รพ.สต.ท่าตอน กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ปนเปื้อนสารหนูในครั้งนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ผลกระทบต่อสุขภาพอาจยังไม่ชัดเจน แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชน เพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันภัยจากสิ่งแวดล้อมที่อาจกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

“บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร” พบอาการชามือชาเท้าพุ่ง เรียกร้องหน่วยงานตรวจสุขภาพ 

The Active เดินทางต่อไปที่ หมู่บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านตอนลงไปตามแนวแม่น้ำกก พบเสียงสะท้อนถึงความกังวลลลด้านปัญหาสุขภาพที่ชาวบ้านสงสัยว่าเกี่ยวกับแม่น้ำกกปนเปื้อนหรือไม่ ขณะที่ยังไม่มีหน่วยงานสาธารณสุขทำงานเชิงรุกในพื้นที่ 

เวทีเสวนา อารยชาติพันธ์ลุ่มน้ำกกในกระแสสารปนเปื้อน ซึ่งมีภาคประชาสังคมร่วมจัดเช่น เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเชียงราย นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และ ผศ.สุวิชาญ พัฒนาไพรวัลย์ อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวมด้วย 

กำพล เฉลิมเลี่ยมทอง ผู้ใหญ่บ้านรวมมิตร เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่แม่น้ำกกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมว่า เมื่อก่อนช่วงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม น้ำในแม่น้ำจะใสสะอาด เราลงเล่นน้ำได้ หาปลาธรรมชาติมากินกัน แต่พักหลังกลับรู้สึกว่าน้ำแดงและขุ่นตลอดเวลา ทั้งที่ไม่มีฝนตก ไม่ใช่ฤดูน้ำหลาก เราก็เริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้ใหญ่บ้านกำพล ระบุว่า ชาวบ้านเริ่มได้ยินข่าวจากหลายแหล่งว่า อาจมีการขุดเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำกก ทำให้เกิดสารปนเปื้อน จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่ามันต้องมีเหตุอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ เราจึงแจ้งประกาศเตือนภัยในหมู่บ้าน ทางอำเภอและจังหวัดก็รับทราบ และเข้ามาช่วยดูแล ช่วงนั้นบางคนได้รับผลกระทบ เพราะยังไม่รู้ว่าน้ำมีสารปนเปื้อน

หลังมีการประกาศเตือนภัย ชาวบ้านเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ไม่มีใครกล้าหาปลาหรือเล่นน้ำอีก แม้แต่ช้างก็ไม่สามารถลงอาบน้ำได้ ต้องใช้น้ำจากประปาภูเขาแทน ซึ่งก็ไม่ได้สะดวกมากนัก

ตอนนี้ชาวบ้านเราที่อาศัยอยู่ริมลำน้ำกก ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ต้องใช้น้ำจากภูเขาแทน แต่พอหน้าฝน น้ำจากภูเขาก็ขุ่น ต้องใช้แบบระวังและประหยัดที่สุด

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวว่า ปัจจุบันยังมีหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรต่างๆ เข้ามาศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปัญหานี้ โดยชุมชนเองก็ต้องร่วมมือกันเก็บตัวอย่างพืชน้ำ ปลา และน้ำจากแม่น้ำเพื่อนำไปตรวจสอบ

“ผมเองก็ต้องเสี่ยง ช่วยกันจับปลา เก็บพืชน้ำ ไปให้หน่วยงานพิสูจน์ว่าปลอดภัยหรือไม่ เราจับปลาได้แค่ 3–5 ตัว เพราะไม่กล้าจับเยอะ มันเสี่ยงมาก แต่ในฐานะผู้ใหญ่บ้านก็ต้องทำ”

แม้ผู้ใหญ่บ้านจะไม่พบอาการผิดปกติหลังจากอาบน้ำโดยใช้สบู่ตามปกติ แต่เขาระบุว่าชาวบ้านบางคน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับสารที่ปนเปื้อนในน้ำ และหลายคนก็เข้ารับการรักษาแล้ว

อนุสิทธิ์ พนาสง่าวงศ์ ศิยาภิบาล แห่งคริสตจักรในประเทศไทย ภายใต้สังกัด KBC กล่าวว่า ปัจจุบันเขาทำหน้าที่เป็นผู้นำศาสนา ดูแลสมาชิกคริสตจักรในชุมชนริมแม่น้ำ ซึ่งกำลังเผชิญความกังวลจากข่าวสารเกี่ยวกับการปนเปื้อนในแหล่งน้ำธรรมชาติ

“ตอนนี้หลายคนกังวลมากครับ หลังจากเห็นข่าวทางทีวีว่ามีสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ทำให้ไม่มีใครกล้าลงเล่นน้ำหรือจับปลาเลย สมาชิกในชุมชนหลายคนเริ่มป่วย โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ต้องไปหาหมอกันบ่อยมาก”

เขาเล่าว่า ในฐานะผู้นำศาสนา หน้าที่หนึ่งของเขาคือช่วยดูแลผู้ที่เจ็บป่วย โดยจะมีการรวบรวมเงินช่วยเหลือกันคนละ 500 บาทต่อปี เพื่อใช้เป็นกองทุนช่วยผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งนับตั้งแต่น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“บ้านชาวบ้านที่อยู่ติดแม่น้ำ ไม่ว่าจะไปเก็บผักหรือของป่าตามริมฝั่งน้ำมารับประทาน หลายคนบอกว่าหลังจากกินเข้าไปแล้วรู้สึกแน่นหน้าอก ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเก็บอะไรมาทำกินอีกต่อไป ถึงแม้ของพวกนั้นจะดูดีแค่ไหนก็ตาม”

เขายังเสริมว่า แม้หมู่บ้านของเขาจะอยู่ในพื้นที่ที่อนุรักษ์ป่าถึง 3,500 ไร่ และมีแหล่งน้ำจากภูเขา แต่ผู้คนก็ยังได้รับผลกระทบจากน้ำที่ท่วมเข้ามาในบ้านเรือนหลังวิกฤตน้ำท่วม

อาการป่วยที่เขาและสมาชิกชุมชนกำลังเผชิญนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตโดยเฉพาะอาการ “ชามือชาเท้า” ซึ่งพบมากขึ้นเรื่อยๆ

“ตัวผมเองก็มีอาการชามือ ชาเท้าหนักมาก ต้องไปฉีดยาที่โรงพยาบาลถึง 2-3 ครั้ง กินยาตามอาการก็ยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ปวดหลังเพิ่มขึ้นอีก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ คิดว่าเกิดขึ้นหลังจากผมต้องลุยน้ำตอนล้างบ้านหลังน้ำท่วม ซึ่งในน้ำก็มีโคลน มีขยะ มีเศษอะไรต่างๆ เยอะมาก”

แม้ไปพบแพทย์แล้ว แต่อาการเหล่านี้ก็ยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ “คุณหมอบอกว่าอาจจะเป็นเกาต์หรือเปล่า แต่ผลก็ไม่ได้ยืนยันอะไรแน่ชัด ก็รักษาตามอาการอย่างเดียว”

ศิยาภิบาล อนุสิทธิ์ เรียกร้องให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบสุขภาพของคนในชุมชนอย่างละเอียด เช่น การตรวจปัสสาวะ หรือตรวจเลือด เพื่อหาสารปนเปื้อนที่อาจหลงเหลืออยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะหลังจากน้ำท่วมใหญ่ที่สร้างผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาวะของประชาชน

“ถ้ามีหน่วยงานลงมาดูแล ตรวจสุขภาพ ตรวจสารตกค้าง จะเป็นเรื่องที่ดีมากครับ เพราะตอนนี้คนในหมู่บ้านหลายคนป่วยกันมาก และยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร” ศิยาภิบาล อนุสิทธิ์ กล่าว 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active