นักวิชาการศิลปะ – ศิลปิน คาดเซนเซอร์งานศิลปะที่หอศิลป์มาจากแรงกดดันทางการเมือง ชี้ศิลปะมิใช่ภัยคุกคามต่อการทูต แถลงเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ เครือข่ายศิลปะเคลื่อนไหวแชร์รายชื่อศิลปินที่ถูกเซนเซอร์
จากกรณีที่มีรางานว่า หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre, BACC) เซนเซอร์และถอดผลงานศิลปะของศิลปินผู้ลี้ภัยชาว ‘ฮ่องกง ทิเบต และอุยกูร์’ บางชิ้นจากนิทรรศการ ‘ดาราภิวัตน์ ■ ภูมิทัศน์เงา’ (Constellation of Complicity) นิทรรศการที่พูดถึงเนื้อหาเกี่ยวอำนาจนิยม ที่จัดแสดงที่หอศิลปฯ โดยภายหลังจากเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการร่วมกับเจ้าหน้ากรุงเทพฯ และได้มีการเรียกร้องให้ยุติการจัดแสดง หลังพบเนื้อหาที่วิจารณ์ถึงระบอบการปกครองเกี่ยวกับจีน
หลังจากนั้นได้มีการถอดศิลปะบางชิ้นออกจากการจัดแสดง ขณะที่ผลงานอีกหลายชิ้นถูกปรับเปลี่ยนเซนเซอร์โดยตัดคำว่า ‘ฮ่องกง’ ‘ทิเบต’ และ ‘อุยกูร์’ ออก รวมทั้งมีการเซนเซอร์ชื่อศิลปิน 4 คนคือ Clara Cheung และ Gum Cheng Yee Man 2 ศิลปินจากฮ่องกง Tenzin Mingyur Paldron ศิลปินจากทิเบต และMukaddas Mijit ศิลปินชาวอุยกูร์ ด้วย

ซึ่งผลงานที่ถูกถอดออกจากนิทรรศการ คือ ‘Listen to Indigenous People (A Trans Tibetan Scholar and Survivor Speaks on the Dalai Lama) ของ Doc Tenzin ศิลปินทรานสต์ชาวทิเบต โดยในวิดีโอนี้ เล่าผ่านแดร็กควีน ที่เล่าเรื่องให้เด็ก ๆ ฟัง โดยนักเล่าเรื่องจะอ่านหนังสือให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองฟัง ผู้ปกครองพาลูก ๆ มาเก็บเกี่ยวคุณค่าของกิจกรรม รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของตนเอง และมีการหยิบเหตุการณ์ที่ดาไลลามะให้เด็กดูดลิ้นมาพูด เพื่อชี้ให้เห็นว่า เมื่อโลกทัศน์แบบวัฒนธรรมทิเบตถูกสื่อสารสู่โลกทัศน์จากวัฒนธรรมอื่น จะเกิดความต่างอย่างไร
เพื่อชวนให้ผู้ชมลองมองปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมนั้นจากสายตาของคนในวัฒนธรรมนั้นเอง แล้วเปรียบเทียบกับโลกทัศน์ที่ถูกประกอบสร้างผ่านรายงานหรือถ้อยคำที่แพร่กระจายทั่วไป
- สามารถชมผลงานนี้ได้ที่ Listen to Indigenous People: A Trans Tibetan Scholar & Survivor Speaks on the Dalai Lama

ของ Doc Tenzin
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ไซ ผู้ร่วมก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สันติภาพเมียนมาร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดนิทรรศการนี้ แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ชิ้นงานที่ถูกถอดออกประกอบด้วยธงทิเบตและอุยกูร์ และโปสการ์ดที่มีรูปประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน รวมถึงโปสการ์ดที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างจีนและอิสราเอล
“เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นิทรรศการเกี่ยวกับความร่วมมือแบบเผด็จการถูกเซนเซอร์ภายใต้แรงกดดันจากเผด็จการ” เขากล่าว “ประเทศไทยเป็นที่หลบภัยของผู้เห็นต่างทางการเมืองมายาวนาน นี่เป็นสัญญาณที่น่ากลัวสำหรับศิลปินและนักเคลื่อนไหวที่ถูกเนรเทศทุกคนในภูมิภาค”

ซึ่งหลังจากมีกระแสเรื่องการเซนเซอร์ มีนักวิชาการด้านศิลปะแแกมาให้ความเห็นและเรียกร้องการที่ศิลปะถูกแทรกแซง สุชาติ สวัสดิ์ศรี นักเขียน และอดีตศิลปินแห่งชาติ โพสต์ ข้อความระบุว่า
“ขอประท้วง
การเข้ามาแทรกแซงเสรีภาพ
การแสดงออกทางศิลปะในประเทศไทยของรัฐบาลจีน“
ขณะที่ ผศ.ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์ประจำภาควิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ คำแถลงเกี่ยวกับการปราบปรามเสรีภาพทางศิลปะจากแรงกดดันของรัฐบาลจีน
โดยมีเนื้อหาระบุว่า
ข้าพเจ้าขอแสดงความกังวลอย่างยิ่ง และขอประณามอย่างหนักแน่นต่อแรงกดดันทางการเมืองจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การเซนเซอร์และการถอดถอนผลงานศิลปะจากนิทรรศการ “Constellation of Complicity” ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ผลงานเหล่านี้—ซึ่งสร้างสรรค์โดยศิลปินผู้ลี้ภัย—ได้ถ่ายทอดอย่างกล้าหาญถึงการกดขี่อย่างเป็นระบบต่อชาวอุยกูร์ ชาวทิเบต และชาวฮ่องกง ภายใต้ระบอบการปกครองของรัฐบาลจีน
การลบชื่อศิลปิน และการทำให้คำว่า “ฮ่องกง” “ทิเบต” และ “อุยกูร์” เลือนหายไป มิใช่เพียงการเซนเซอร์ แต่คือการปิดปากอย่างเป็นระบบ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการล้ำเส้นของอำนาจเผด็จการข้ามพรมแดน ซึ่งคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกภายในอาณาเขตของประเทศไทย
ข้าพเจ้าถือว่าหน่วยงานต่อไปนี้ต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยให้การปราบปรามนี้เกิดขึ้น:
- สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ที่แทรกแซงกิจการทางวัฒนธรรมภายในประเทศไทยโดยตรง และกดดันให้สถาบันท้องถิ่นยอมทำตามการเซนเซอร์ทางการเมือง
- กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย ที่ถ่ายทอดและให้ความชอบธรรมต่อข้อเรียกร้องจากต่างชาติ โดยมิได้ปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของศิลปินและประชาชน
- กรุงเทพมหานคร ที่ละเลยต่อหน้าที่ในการปกป้องความเป็นอิสระของพื้นที่วัฒนธรรมสาธารณะที่อยู่ภายใต้การดูแล
ศิลปะมิใช่ภัยคุกคามต่อการทูต หากแต่เป็นพลังที่จำเป็นในสังคมประชาธิปไตย—พลังที่ตั้งคำถามต่ออำนาจ เปิดเผยความจริง และต่อต้านความอยุติธรรม
ข้าพเจ้ายืนหยัดอย่างเต็มที่เคียงข้างศิลปินที่ถูกเซนเซอร์ ความกล้าหาญของพวกเขาสมควรได้รับการสนับสนุน มิใช่ความเงียบ ข้าพเจ้าขอเรียกร้องต่อภาคประชาสังคม บุคลากรวัฒนธรรม และประชาคมนานาชาติ ให้ปฏิเสธการละเมิดเสรีภาพทางศิลปะและเสรีภาพทางการเมืองในครั้งนี้
ขณะที่ในสังคมโซเชียลมีการทำแคมเปญ แชร์รายชชื่อศิลปินที่ถูกเซนเซอร์จากการกดดันโดยรัฐาลจีนร่วมกันกับกรุงเทพมหานคร (หนึ่งในผู้สนับสนุนหลัก BACC) อย่าให้การเซนเซอร์ศิลปินและศิลปะคือเรื่องปกติ ซึ่งการที่ศิลปะถูกเซนเซอร์แบบนี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นในประเทศ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีนิทรรศการที่ถูกเซนเซอร์ เช่น งานภาพถ่ายของหฤษฏ์ สีขาวที่แสดงที่ Gallery VER ซึ่งเป็นนิทรรศการภาพถ่ายชื่อ ไร้มลทิน กับเหตุการณ์ปี 53

นิทรรศการ ดาราภิวัตน์ ■ ภูมิทัศน์เงา: สำรวจกลไกระดับโลกของความเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ระบอบอำนาจนิยม
ถูกจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม – 19 ตุลาคม 2568 ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre, BACC)
นิทรรศการนี้นำเสนอผลงานจากเมียนมา อิหร่าน รัสเซีย ซีเรีย กลุ่มศิลปินผู้ลี้ภัย ที่ถูกทำให้พลัดถิ่น ได้ถ่ายทอดการถูกกระทำ ผ่านสายตาของศิลปินผู้เคยเผชิญหรือถูกทำให้พลัดถิ่นจากผลพวงของระบอบอำนาจนิยม
โดยแนวปฏิบัติของศิลปินเหล่านี้เผยให้เห็นแผนที่ใหม่ของอำนาจซึ่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน ซึ่งเผยให้เห็นผ่านการทูต การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ และการจัดการสถานการณ์ด้วยกำลังทหาร ระบอบเหล่านี้ร่วมมือ สนับสนุนซึ่งกันและกัน และผลิตซ้ำความความขัดแย้งในนามของอธิปไตยและความเป็นระเบียบ
การทำแผนที่ของความสมรู้ร่วมคิด คือการเอ่ยนามของผู้ที่หล่อเลี้ยงความกดขี่ ไม่ใช่เพียงแค่ผ่านความรุนแรง แต่ผ่านการแลกเปลี่ยน การจัดแสดงความร่วมรู้เหล่านี้ คือการรบกวนความเงียบที่ทำให้พวกมันเร้นหายจากสายตา
นิทรรศการ ดาราภิวัตน์ ■ ภูมิทัศน์เงา ไม่ได้อ้างตนว่าเป็นความจริงสากล หากแต่เสนอกระบวนทัศน์แบบภัณฑารักษ์ ที่เน้นการเชื่อมโยงแทนการแยกส่วน เปิดเผยสายใยของอำนาจในความซับซ้อน และยืนยันว่า ศิลปะยังคงเป็นหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่ยากจะถูกควบคุมภายใต้ระเบียบของอำนาจ
