แรงงานข้ามชาติ ฟันเฟืองกู้วิกฤตวัยแรงงาน เบื้องหลังเศรษฐกิจไทย-ท้าทายความเป็นชาติ

เคยคิดไหมว่า ถ้าไม่มีแรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานที่ “คนไทยไม่อยากทำ” อย่างงานที่สกปรก เสี่ยงอันตราย และยากลำบาก 

“ในวันนี้ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร”

เหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยรอบเท่านั้น หากยังส่งผลต่อ “แรงงานข้ามชาติ” ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากอคติเชื้อชาติและความโกรธแค้นเกลียดชัง จากต้นเหตุของความรุนแรงที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ

สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องตั้งสติให้มั่นว่า ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงคืออะไร และใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการเหมารวมไปถึงผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ใช่หรือไม่ว่า ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา และสถานะทางสังคม อาจทำให้เรามองข้ามมิติความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว

“ลองทบทวนกันอีกครั้ง”

ในสถานการณ์ปกติ แรงงานข้ามชาติมักถูกมองด้วยสายตาด้อยค่ามาโดยตลอด และยิ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ปัญหาการละเมิดสิทธิและการเลือกปฏิบัติก็ยิ่งหนักหน่วงมากขึ้น

แนวคิดชาตินิยมหรือความรักชาติไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่เป็นเรื่องดีที่ควรปลูกฝังให้คนในชาติรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดความหวงแหนและภาคภูมิใจในความเป็นชาติ

อย่างไรก็ตาม เหรียญอีกด้านของแนวคิดชาตินิยม ก็กลายเป็นความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรา จนนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามคนชาติอื่น หรือกระทั่งละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างไม่สนว่าเขาเหล่านั้นก็เป็นคนไม่ต่างจากเรา

เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัด คือ เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 68 สมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่ง นำโดย กมล รอดคล้าย ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา พร้อมกลุ่ม สว. จากจังหวัดชายแดน เช่น วิวัฒน์ รุ้งแก้ว สว.ศรีสะเกษ, ชาญชัย ไชยพิศ สว.บุรีรัมย์ เสนอข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปรับลดงบประมาณด้านการศึกษาแก่เด็กกัมพูชาและลูกหลานแรงงานข้ามชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย

โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณสูงถึง 837 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นรายหัว 20,000-30,000 บาท เพื่อดูแลการศึกษาของเด็กต่างด้าวจำนวน 108,000 คน ซึ่งเป็นภาระทางการคลัง และเป็นการใช้ภาษีของคนไทยอย่างไม่เหมาะสม

จากความเห็นของ สว. กลุ่มดังกล่าวที่อาจเป็นการละเมิดสิทธิทางการศึกษาของเด็กข้ามชาติ ได้นำมาสู่เวทีเสวนา “นโยบายการศึกษาเพื่อทุกคน และประเทศไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จริงหรือ?” จัดโดยเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพแรงงาน (LPN) ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา เพื่อเปิดพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยน และเสนอเชิงนโยบายอย่างสร้างสรรค์

อังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวในเวทีเสวนา โดยชี้ให้เห็นว่า การตัดงบประมาณด้านการศึกษาเด็กข้ามชาติ ถือเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเด็ก เพราะเด็กทุกคนบนโลกนี้ต้องได้รับการคุ้มครองและเข้าถึงการศึกษาได้ ไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือเชื้อชาติใดก็ตาม

อังคณา ยังระบุอีกว่า เด็กข้ามชาติคือผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ไม่ใช่เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ การเหยียดหยาม หรือกีดกันเด็กในการเข้าถึงการศึกษา จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง รวมถึงขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาเจนีวาที่ต้องให้ความคุ้มครองพลเรือนในสถานการณ์สู้รบ

ข้อสรุปสำคัญในเวที ยืนยันว่า เด็กทุกคนต้องเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ และหวังว่าสังคมไทยจะเรียนรู้และปฏิบัติต่อเด็กข้ามชาติโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ตาม แม้ภาคประชาสังคมและนักวิชาการจะพยายามส่งเสียงสะท้อนในเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ถัดมาไม่กี่วัน มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับความพยายามจับกุมนักเรียนด้วยข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและผลักดันกลับประเทศต้นทาง โดยแต่ละกรณีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น มีพ่อหรือแม่เลี้ยงเป็นคนไทย เกิดหรือเติบโตในประเทศไทยและมีความกลมกลืนแล้วกับประเทศไทย ตามหลักการรับรองสัญชาติ แต่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อาจยังสวนทางกับความเห็นของนักสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย และนักวิชาการ เพราะขัดต่อหลักสิทธิเด็ก และอาจรวมถึงขัแนวปฏิบัติในกฎหมายอาญา

พร้อมเสนอทางออกว่า เจ้าหน้าที่รัฐควรหาแนวทางที่เหมาะสมแทนการผลักดันกลับประเทศ ซึ่งจะกระทบอนาคตของเด็ก

เหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สร้างความสะเทือนใจต่อครูในโรงเรียนและผู้ที่รับรู้เรื่องราว

ขณะเดียวกัน ความเห็นของสังคมไทยก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่แสดงความเห็นใจ และฝ่ายที่มองว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

การจับกุมเด็กชาวกัมพูชาไม่เพียงกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กและมารดา แต่ยังสะท้อนปัญหาการขาดความเข้าใจในหลักสิทธิเด็กของเจ้าหน้าที่รัฐไทย และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่ไม่ปฏิบัติตามหลักสากล

เมื่อแบ่งเขา-แบ่งเราด้วยความเกลียดชังในเชื้อชาติ อย่างเหตุการณ์ที่ยกตัวอย่างในข้างต้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าความหวาดระแวงด้านความมั่นคงและความคิดชาตินิยมที่เป็นอยู่ อาจทำให้สังคมไทยสูญเสียทั้งความเป็นมนุษย์ อนาคตของเด็ก และความน่าเชื่อถือในฐานะประเทศที่เคารพหลักสิทธิสากล ซึ่งสิ่งที่เราต้องย้อนกลับมามองจากเหตุการณ์นี้ คือ เรากำลังยอมแลกอะไรไปบ้าง เมื่อเลือกผลัก “คนอื่น” ออกไปด้วยความคิดเช่นนี้

‘เคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากสนามรบสู่สนามการค้า

เอาเข้าจริงแล้ว การเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังไทยเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายทศวรรษ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังไม่คุ้นชินกับความเป็นคนแปลกหน้าของแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เท่าไรนัก

สาเหตุหนึ่งเนื่องจากแรงงานที่เข้ามาส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ตามโรงงาน ในเขตอุตสาหกรรม หรือพื้นที่เกษตรกรรมรอบนอก จนกระทั่งเมื่อเกิดการขยายตัวมาสู่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการในเขตชุมชนเมือง ก็ทำให้คนไทยเริ่มตระหนักรับรู้ถึงการมีอยู่ของแรงงานข้ามชาติมากขึ้น พร้อม ๆ กับต้องใช้ชีวิตร่วมกันในหลายพื้นที่และหลายโอกาส โดยมีเส้นแบ่งของเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และทัศนคติบางอย่างขวางกั้นอยู่

หากมองย้อนกลับไป ประเทศไทยเริ่มอ้าแขนรับแรงงานข้ามชาติเข้ามาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่การประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในยุครัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2531

นโยบายดังกล่าวได้เปลี่ยนความขัดแย้งทางทหารในภูมิภาคอินโดจีน ให้เป็นความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน

ที่สำคัญยังมีผลต่อการสร้างสันติภาพกลับคืนสู่กัมพูชา จากการที่ไทยทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของเขมร 4 ฝ่าย ทำให้สามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้

สันติภาพที่เกิดขึ้นภายใต้นโยบายนี้ ยังส่งผลดีต่อบรรยากาศการค้าชายแดน จากเดิมเป็นการลักลอบค้าขาย กลายเป็นการค้าที่ถูกกฎหมาย สร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล 

โดยมูลค่าการค้าของไทยกับกลุ่มประเทศอินโดจีนเพิ่มสูงขึ้นจาก 300 ล้านบาท ในปี 2531 เป็น 1,200 ล้านบาท ในปี 2532 และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท ในปี 2533

ช่วงเวลานี้เรียกได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของเศรษฐกิจไทย โดยมีการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการค้า และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านหลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย เพื่อแสวงหาโอกาสในการทำงานและการมีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของหน่วยงานด้านความมั่นคง กลับมองเรื่องนี้ต่างออกไป โดยกรมกิจการพลเรือนทหารบก ระบุว่า ผลจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า แม้จะช่วยยุติการสู้รบและเกิดความร่วมมืออันดีทางเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศปลายทางของแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก

ผลกระทบเชิงลบที่ฝ่ายความมั่นคงมองว่าเป็นปัญหา คือ 

  • ด้านเศษฐกิจ อาจเป็นการแย่งตลาดงานของคนไทย
  • ด้านสังคม อาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม การกลืนวัฒนธรรม และการลักลอบนำเข้าสิ่งผิดกฎหมาย 
  • ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อาจทำให้เกิดชุมชนแออัด เนื่องจากการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นว่าระหว่างหน่วยงานของภาครัฐเองก็ยังมีมุมมองต่อแรงงานข้ามชาติที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงคนไทยจำนวนหนึ่งก็ยังมีทัศนคติเชิงลบด้วยเช่นกัน

เมื่อแรงงานข้ามชาติทยอยเคลื่อนย้ายเข้าสู่ไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนประชากรแรงงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนเริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นเมื่อประเทศไทยก้าวสู่สังคมสูงวัย และเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนกำลังแรงงานภายในประเทศ ประกอบกับความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องลดต้นทุนการผลิต ทำให้ความต้องการแรงงานข้ามชาติราคาถูกเพิ่มมากขึ้น

นักวิชาการด้านประชากรศาสตร์คาดการณ์ว่า สถานการณ์เคลื่อนย้ายแรงงานในลักษณะนี้อาจกินเวลายาวนาน 80-100 ปี ตราบใดที่ประเทศไทยยังไม่สามารถผลิตประชากรแรงงานที่เพียงพอ ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ เพื่อที่จะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับนี้ไว้ให้ได้

เจาะมายาคติ “แรงงานข้ามชาติแย่งงาน-เบียดบังงบประมาณสุขภาพ” จริงหรือ?

“แรงงานข้ามชาติ แย่งงาน แย่งงบฯสุขภาพ ?”

มายาคติที่ว่า แรงงานข้ามชาติจะเข้ามาแย่งงานคนไทยนั้น อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะงานหลักของแรงงานข้ามชาติมักมีอยู่ 3 ประเภท หรือที่เรียกว่า 3D คือ งานที่สกปรก เสี่ยงอันตราย และยากลำบาก (Dirty–Dangerous–Difficult)

แรงงานข้ามชาติจึงไม่ต่างจากการเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของตลาดแรงงานในกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ เนื่องจากค่าแรงต่ำ และส่วนใหญ่เป็นงานที่ต้องใช้แรง

ในฐานะผู้ศึกษาปัญหาแรงงานข้ามชาติ ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยยังมองว่า แรงงานข้ามชาติเป็นเพียงแรงงานชั่วคราว ทำให้นโยบายในการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติเน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น เห็นได้จากการออกใบอนุญาตทำงานที่มักกำหนดระยะเวลาไว้แค่คราวละ 2 ปี หรือขึ้นอยู่กับมติคณะรัฐมนตรีของแต่ละรัฐบาล

“ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือ ประเทศไทยไม่มีวิสัยทัศน์เรื่องการจัดการแรงงานข้ามชาติ เพื่อมาทดแทนแรงงานในเมืองไทย หรือเพื่อตอบรับสังคมสูงวัย เราบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในแง่ของมิติความมั่นคงเท่านั้น เราจะดูแค่ว่า เขามีพาสปอร์ตมั้ย เขามีวีซ่ามั้ย เขามีใบอนุญาตทํางานมั้ย ถ้าไม่มี ก็ปรับ จับ”

ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม

ชลนภา เห็นว่า สิ่งที่รัฐต้องจัดเตรียม คือ มาตรการรองรับแบบบูรณาการ เมื่อแรงงานเคลื่อนย้ายเข้ามาแล้ว จะมีชีวิตอยู่อย่างไร รวมไปถึงครอบครัวและผู้ติดตามจะดำรงสถานะใด มีคุณภาพชีวิตเพียงพอหรือไม่

“ตอนนี้ มีข้อถกเถียงว่าแรงงานข้ามชาติเข้ามา ถ้าถูกกฏหมายเราจะดูแล คําว่าดูแลแปลว่าอะไร ถ้าขยับจุดข้อถกเถียงก็คือ เขาควรได้การคุ้มครองในฐานะคนทํางานไหม เขาควรได้รับสิทธิ์ ลูกหลานควรได้เข้าเรียนไหม ถ้าป่วยควรได้รับสิทธิ์ในการรักษามั้ย เอาแบบพื้นฐานที่สุดเลย”

ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม

ปัญหาเรื่องการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สังคมไทยต่างถกเถียงกันว่า แรงงานข้ามชาติคือกลุ่มที่เข้ามาเบียดบังงบประมาณและทรัพยากรด้านสาธารณสุขหรือไม่

ชลนภา อธิบายว่า ตามสถิติของสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า ตัวเลขผู้ประกันตนในปัจจุบันอยู่ที่ 12 ล้านคน ประมาณการว่าเป็นแรงงานข้ามชาติราว 2 ล้านคน ซึ่งต้องได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานเทียบเท่าแรงงานไทย แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คนกลุ่มนี้ยังเข้าไม่ถึงสิทธิหลายประการ แม้เป็นแรงงานที่เข้าเมืองถูกกฎหมายก็ตาม

ขณะที่แรงงานข้ามชาติอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคมได้ เช่น แรงงานประมง คนทำงานบ้าน ต้องใช้วิธีซื้อ “บัตรประกันสุขภาพ” จากโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ตามความสมัครใจของแรงงานเอง

ทุกวันนี้หากแรงงานข้ามชาติเกิดปัญหาสุขภาพหรือเจ็บป่วย ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ง่าย เพราะกฎหมายแรงงานได้แบ่งแยกประเภทของแรงงานไว้หลากหลายกลุ่ม และมีเงื่อนไขมากมายที่แตกต่างกันไป

“ถ้าคนไม่ไปศึกษากฎหมายแรงงานดี ๆ จะไม่เข้าใจเลยว่า ทําไมกลุ่มนี้ได้สิทธิ์แบบนี้ อันนี้ก็เป็นความลักลั่นของกฎหมายแรงงาน ทําให้แรงงานหลายกลุ่มไม่ถูกคุ้มครอง อย่างกลุ่มแรงงานกลุ่มเปราะบางรายได้น้อย โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ”

ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรงงานข้ามชาติจำนวนมากไม่ขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เข้าสู่ระบบประกันสังคม เนื่องจากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มีราคาแพงเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่ได้รับ อีกทั้งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนจนกลายเป็นอุปสรรค

เมื่อขั้นตอนการออกใบอนุญาตทำงานมีราคาแพง ก็ยิ่งเป็นเงื่อนไขให้แรงงานข้ามชาติกว่าครึ่งหนึ่งปฏิเสธที่จะเข้าสู่ระบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขตามมา เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐไม่กล้าที่จะขายบัตรประกันสุขภาพแก่แรงงานที่มีเอกสารไม่ครบถ้วน เพราะอาจขัดต่อระเบียบกระทรวง และเสี่ยงที่จะขาดทุน

ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม กล่าวด้วยว่า ข้อกังวลเรื่องปัญหาสุขภาพของแรงงานข้ามชาติอีกส่วนหนึ่งคือ เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์และอัตราการเกิดสูง แต่ประเทศไทยยังไม่ได้ส่งเสริมให้ความรู้เรื่องการคุมกําเนิดหรือวางแผนครอบครัวเท่าที่ควร ทำให้การฝากครรภ์ไม่มีคุณภาพและเสี่ยงที่จะคลอดผิดปกติ

“เราไม่มีหลักประกันสุขภาพสําหรับแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสาร นี่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย อันที่ 1 พอไม่มีเอกสาร ไม่มีประกันสุขภาพ เขาไม่ได้รับความเสี่ยงอย่างเดียว เราก็รับด้วย อันที่ 2 ก็คือ คนที่มีบัตรประกันสุขภาพหรือสิทธิประกันสังคม ไปรับบริการก็ยังถูกเลือกปฏิบัติ”

ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม

ภาวะพึ่งพิงแรงงานข้ามชาติ บนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย

อีกด้านหนึ่ง ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่เหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนอยู่ในภาวะตึงเครียด แรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมากเร่งอพยพกลับประเทศต้นทาง หลังมีข่าวแพร่สะพัดว่าทางการกัมพูชาได้ขู่ว่า หากแรงงานไม่ย้ายถิ่นฐานกลับภายในเวลาที่กำหนด จะถูกยึดที่ดินและถูกลบชื่อออกจากทะเบียนราษฎร์

ปรากฏการณ์นี้สร้างแรงกระเพื่อมมาถึงผู้ประกอบการไทยที่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และแปรรูปอาหาร

สิ่งนี้ตอกย้ำชัดเจนว่า แรงงานข้ามชาติสำคัญมากแค่ไหนต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ในมุมมองของภาคประชาสังคม โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) กล่าวว่า การเคลื่อนย้ายของแรงงานข้ามชาตินับแสนคนถือเป็นการอพยพครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดจากแรงกดดันของประเทศคู่ขัดแย้ง รวมถึงแรงกดดันจากคนไทยเอง โดยมีการใช้โซเชียลมีเดียปลุกปั่นกระแสความเกลียดชังหรือคุกคาม จนทำให้แรงงานข้ามชาติรู้สึกไม่ปลอดภัย

โรยทราย ให้ข้อสังเกตว่า แม้แรงงานข้ามชาติจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาตลอด แต่อีกด้านหนึ่งก็ทําให้ผู้ประกอบการไทยเคยชินกับการพึ่งพาแรงงานราคาถูก โดยไม่มีการลงทุนด้านการวิจัยหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานแบบฉับพลัน ภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ จึงอยู่ในภาวะชะงักงัน เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

ตัวอย่างหนึ่ง คือ สวนลำไยที่จันทบุรีต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก โดยมีการประเมินว่าเฉพาะจังหวัดจันทบุรีเพียงจังหวัดเดียว ต้องการแรงงานเก็บลำไยมากถึง 30,000 คน ทำให้เจ้าของสวนลำไยต้องประกาศรับสมัครแรงงานคนไทยทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดเพศ อายุ และไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ซึ่งเจ้าของสวนต้องยอมจ่ายค่าแรงเพิ่มขึ้น เพื่อแลกกับการลดความเสียหายของผลผลิต

“มันเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจเลย เพราะเราไปพึ่งคนอย่างเดียว และถ้าเราไม่ดูแลคนให้ดี มันกลายเป็นความเปราะบางทั้งห่วงโซ่อุปทาน อย่างภาคอุตสาหกรรมหรือภาคเกษตร เห็นได้ชัด อันนี้ก็เป็นเหมือนปรากฏการณ์ที่ส่วนตัวมองว่า เศรษฐกิจไทยเปราะบางกว่าที่คิด”

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) 

ย้อนกลับไปสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ราวปี 2547 ประเทศไทยมีการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบประมาณ 1 ล้านคน จนถึงปัจจุบันคาดว่าตัวเลขแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมายอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งหมายความว่า แรงงานเหล่านี้ได้เข้ามาทดแทนแรงงานไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการหดหายของประชากรไทยในสังคมสูงวัย

โรยทราย เสนอว่า สถานการณ์เช่นนี้ ภาคธุรกิจไทยต้องลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับพัฒนาทักษะแรงงานไทย แล้วค่อย ๆ ลดการพึ่งพิงแรงงานข้ามชาติลง

“เมื่อ 20 ปีก่อน สภาพการทําประมงเป็นอย่างไร 20 ปีผ่านไปก็เหมือนเดิม เราใช้เครื่องจักรมาทดแทนกําลังการผลิตของคนน้อยมาก ในขณะที่ประชากรวัยทํางานน้อยลงเรื่อย ๆ ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า ทําไมต้องมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเติมฟันเฟืองเศรษฐกิจเหล่านี้ แต่ว่าระยะยาวมันก็เป็นโจทย์ใหญ่ขึ้น คือการผลิตแบบดั้งเดิมมันทําให้ไทยแข่งขันในเศรษฐกิจโลกยาก”

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) 

เมื่อไทยยังต้องพึ่งแรงงานคนเป็นหลัก สิ่งที่ตามมาก็คือ การดูแลสภาพการทำงานให้สอดคล้องกับกติกาสากลหรือมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) โดยเฉพาะปัญหาการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ การใช้แรงงานเด็ก

ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยถูกจัดอยู่ในสถานะ Tier 3 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ช่วงปี 2557-2559 ซึ่งหมายถึงการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และไม่มีความพยายามในการแก้ไข ส่งผลให้ถูกตัดความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ 

จนกระทั่งผ่านไปหลายปี ไทยจึงได้รับการปรับระดับขึ้นมาอยู่ใน Tier 2 ช่วงปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าในเชิงบวก

ขณะเดียวกัน ไทยก็เคยได้รับ “ใบเหลือง” เมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนจากสหภาพยุโรป เกี่ยวกับการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ก่อนจะได้รับการปลดใบเหลืองเมื่อปี 2562 ทำให้สามารถส่งออกสินค้าประมงไปยังสหภาพยุโรปได้ตามปกติ

โรยทราย ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาขาดแคลนแรงงานไม่เพียงเกิดขึ้นกับประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียต่างก็มีความต้องการนำเข้าแรงงานเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ซึ่งเสนอค่าตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้เกิดคำถามว่า ในระยะยาว ประเทศไทยจะยังเป็นที่ดึงดูดสําหรับแรงงานประเทศเพื่อนบ้านอยู่หรือไม่

“วันนี้เราได้ยินแม้กระทั่งรัสเซียเจรจากับประเทศพม่า ขอนําเข้าแรงงานเข้าไป ฉะนั้นก็เป็นคําถามใหญ่ของไทย ว่าจะปรับตัวภาคการผลิต และลงทุนในเชิงความรู้และอุตสาหกรรมมากขึ้น หรือจะทําเหมือนเดิม อยู่บนความเปราะบางของการขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ต่อไปหรือไม่”

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group)

ในเมื่อผู้ประกอบการไทยยังคงต้องการแรงงานในภาคการผลิต สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักสากลในวันนี้คือ การดูแลคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าอกเข้าใจ ไม่ปล่อยให้เชื้อไฟแห่งความโกรธเกลียดลุกลาม

“หวังว่าจะเห็นผู้ประกอบการไทยกล้ามองแรงงานข้ามชาติมากกว่าแค่ฟันเฟืองในการผลิต แต่อธิบายให้ชัดว่า เป็นทรัพยากรมนุษย์ในสังคมไทยยังไงบ้าง”

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) 

“การที่คุณปล่อยให้ความเกลียดชังแรงงานข้ามชาติมันดําเนินต่อไป การที่คุณเห็นแรงงานข้ามชาติบางส่วนไม่ได้รับความเป็นธรรม สุดท้ายมันจะเป็นผลกระทบเชิงบูมเมอแรง กระทบในกระบวนการผลิตของคุณเอง”

โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (Migrant Working Group) 

ท่ามกลางกระแสความรักชาติ พร้อมกับการดูแคลนคนต่างเชื้อชาติ ที่ถูกส่งต่อกันได้ง่าย ๆ ผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย ทุกวันนี้ เด็ก เยาวชน และครอบครัวแรงงานข้ามชาติ ต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกเลือกปฏิบัติ และยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง

ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม ตั้งคำถามย้อนกลับว่า เรากำลังเกลียดกลัวอะไรกันแน่ หรือแท้จริงแล้ว สังคมไทยกำลังถูกครอบงำด้วยอคติโดยไม่รู้ตัว

“จริง ๆ เราไม่รู้ว่า การที่เรารังเกียจแรงงานข้ามชาติ มันผสมกับการเหยียดชนชั้น คือเราจะเหยียดเพราะว่าเขาจน แต่เราจะไม่มีท่าทีนี้กับฝรั่ง คือลึก ๆ เรารังเกียจคนจน แล้วเราก็รู้สึกคนที่มาอาศัยเกาะเราเนี่ย มันจะเอาเปรียบเรา แต่มีคนน้อยมากที่จะเข้าใจว่า คนที่แย่งทรัพยากรเรา คือคนที่รวยกว่า”

ชลนภา อนุกูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อสังคมเป็นธรรม

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อาจพอจะเห็นภาพสะท้อนจากความคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง ที่ส่งผลต่อการมองแรงงานข้ามชาติด้วยอคติ ไม่เพียงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ที่เปราะบางที่สุดอย่างเด็กหรือเท่านั้น แต่อาจย้อนกลับมาบ่อนทำลายเศรษฐกิจ ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเอง 

ไม่เพียงเท่านั้น เราไม่อาจปฏิเสธความจริงได้เลยว่า แรงงานข้ามชาติคือฟันเฟืองสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในวันที่สังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัย และต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องกลับมาถามตัวเองด้วยความเป็นจริงหรือไม่ว่า เราควรยอมรับและหาวิธีอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม หรือจะผลักคนเหล่านี้ออกไป

เพราะหยาดเหงื่อและแรงงานเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวมาถึงจุดนี้ได้ การปล่อยให้ความขัดแย้งและความรู้สึกชาตินิยมบดบังคุณค่าร่วมของเพื่อนร่วมภูมิภาค อาจนำมาสู่ปัญหาที่ทับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างไรก็ต้องอยู่ร่วมกันต่อไปอยู่ดี


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active