ย้อนปมสอบวินัย “หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ในภารกิจ แพทย์ชนบทบุกกรุง
กรณี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย และประธานชมรมแพทย์ชนบท ระบุคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง เตรียมมีมติ ให้ออกจากราชการ จากกรณีจัดซื้อชุดตรวจโควิด (ATK) เมื่อปี 2564 ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อแวดวงสาธารณสุขอย่างมาก

เพื่อให้เห็นภาพที่มาที่ไป วันนี้ The Active ชวนย้อนดูคำอธิบาย และข้อกล่าวหาที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งไว้เมื่อปี 2566 รวมถึงคำชี้แจงโต้แย้งของหมอสุภัทรเอง
ข้อกล่าวหา : ‘แบ่งซื้อแบ่งจ้าง’ ชุดตรวจโควิด
หมอสุภัทร ในฐานะ ผอ.โรงพยาบาลจะนะ (ในขณะนั้น) ได้อนุมัติการจัดซื้อชุดตรวจโควิด (ATK) วงเงินครั้งละไม่เกิน 2 ล้านบาท รวม 5 ครั้ง เป็นวงเงินรวม 10 ล้านบาท
คณะกรรมการสอบสวนชี้ว่า การจัดซื้อเช่นนี้เป็น การแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ขัดระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560 ซึ่งควรรวมซื้อครั้งเดียวเพื่อให้ได้ราคาถูกกว่า และส่อเจตนาไม่สุจริต
คำชี้แจงของหมอสุภัทร ระบุว่า การซื้อแต่ละครั้งเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าจะต้องใช้จำนวนมากเพียงใด เมื่อภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุง ยืดเยื้อเกินกว่าที่คาด จึงต้องซื้อเพิ่มเป็นรอบ ๆ โดยย้ำว่า “การมองย้อนหลังแล้วกล่าวหาว่าแบ่งซื้อแบ่งจ้าง ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง”
ทีมแพทย์ชนบท โดยหมอสุภัทร เข้ากรุงตรวจคัดกรองโควิด 3 ครั้ง
ครั้งแรก 13-15 กค. 64, ครั้งที่สอง 21-23 กค. 64 จัดซื้อ ATK ครั้งละ 2 ล้านบาท ส่วนครั้งที่สาม 4-16 ส.ค. 64 ซื้อ ATK 3 ครั้ง รวม 6 ล้านบาท
หมอสุภัทร กลับไปทำเบิกรวมกันครั้งเดียวว่า “ซื้อ 5 ครั้ง ครั้งละ 2 ล้าน รวมเป็น 10 ล้าน”

ข้อกล่าวหา : เอื้อประโยชน์บริษัท – ราชการเสียหายร้ายแรง
อีกข้อหาที่ร้ายแรง คือ การปฏิบัติราชการเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้บริษัทเอกชนหรือผู้อื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง ซึ่งเข้าข่ายการทุจริต
ปัญหาคือ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการเปิดเผยหลักฐานจากฝั่งกระทรวงสาธารณสุข ว่า การจัดซื้อครั้งนั้นมีการเอื้อประโยชน์หรือล็อกสเปกอย่างไร ?
กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ตัวแทนภาคประชาชน ตั้งคำถามว่า หากลงโทษถึงขั้นให้ออกจากราชการ ซึ่งเป็นโทษทางวินัยที่ร้ายแรงที่สุด เหตุใดจึงไม่เปิดหลักฐานให้สังคมเห็นชัดเจน
ด้าน สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า หลักฐานมีแน่ แต่ยังคงเป็นความลับทางราชการ โดยจะมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการในการประชุม อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข ช่วงเดือนกันยายนนี้
ข้อกล่าวหา : ไม่รายงานผู้บังคับบัญชา
อีกข้อหาที่ตั้งไว้ คือ ไม่รีบรายงานผู้บังคับบัญชาโดยตรง หลังจากได้ดำเนินการจัดซื้อ ATK แล้ว ส่งผลให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
อย่างไรก็ตาม หมอสุภัทร โต้แย้งว่า ภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุงนั้น เป็นภารกิจที่กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายอย่างเป็นทางการ และเป็นที่รับรู้กันทั่วไป เอกสารราชการที่ลงนามโดย เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ในขณะนั้น) ยังระบุชัดเจนถึงการขอความร่วมมือบุคลากรขึ้นมาช่วยควบคุมโรคในกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงเห็นว่า การรายงานผู้บังคับบัญชาเพิ่มเติมไม่ใช่สิ่งจำเป็น
แม้ รมว.กระทรวงสาธารณสุข จะย้ำว่า หากผิดระเบียบก็ต้องยอมรับ แต่ก็แสดงความเข้าใจต่อเจตนาดีของหมอสุภัทรในช่วงวิกฤตโควิด พร้อมเสนอแนวทาง Law of Efficiency หรือ กฎหมายเพื่อประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบราชการมีความยืดหยุ่นในภาวะฉุกเฉิน และป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานโดยสุจริตต้องตกเป็นผู้กระทำผิด
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังอยู่ในขั้นร่าง และไม่ชัดเจนว่าจะสามารถใช้ย้อนหลังกับกรณีหมอสุภัทรได้หรือไม่
จับตาจุดชี้ขาดกันยายนนี้
ชะตากรรมของ หมอสุภัทร จะถูกกำหนดชัดเจนในการประชุมคณะกรรมการ อ.ก.พ.กระทรวงสาธารณสุข เดือนกันยายนนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งฝ่ายราชการ ภาคประชาชน และวงการแพทย์ชนบท ที่ยังตั้งคำถามต่อความโปร่งใส และความเป็นธรรมของกระบวนการสอบสวน
กรณีนี้จึงไม่เพียงเป็นการตัดสินอนาคตของแพทย์คนหนึ่ง แต่ยังสะท้อนความย้อนแย้งของระบบราชการไทย ระหว่าง เจตนาช่วยเหลือประชาชนในวิกฤติ กับ การยึดกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ที่อาจทำให้ผู้ปฏิบัติการภาคสนามตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับ หมอสุภัทร ก็ได้…
กติกา-ธรรมาภิบาล เกมลับในกระทรวงสธ.?(19 ส.ค. 68) I ตรงประเด็น