หมอชนบทบุกกรุง : หลักฐาน ปฏิบัติการ ‘ลดความสูญเสีย’ กลางวิกฤตโควิด

จากใต้สุด โรงพยาบาลตากใบ จ.นราธิวาส และ เหนือสุด โรงพยาบาลปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน นี่เป็นโรงพยาบาลชุมชนเพียง 2 แห่งที่ชี้ให้เห็นว่า ระยะทางไกล ไม่ใช่อุปสรรค ของการมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์เกือบ 400 ชีวิต จากโรงพยาบาล และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ทั่วทุกภาคของประเทศ รวม 33 จังหวัด ในภารกิจ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” เมื่อปี 2564 ช่วงหนึ่งที่วิกฤตการระบาดโควิดในกรุงเทพฯ เกินควบคุม

และนี่ไม่ใช่การเดินทางมาครั้งแรกของพวกเขา…บางคนเข้าร่วมปฏิบัติการกู้ภัยโควิด-19 กรุงเทพฯ มาแล้วครบทั้ง 3 ครั้ง

ทำไม ‘แพทย์ชนบท’ ต้องบุกกรุง ?

โควิด สายพันธุ์เดลต้า ระบาดอย่างรวดเร็ว มีอาการรุนแรง ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 เกิดขึ้นในเวลาที่ระบบสาธารณสุขเมืองหลวงอ่อนล้าเต็มทน มาตรการคุมโรคที่ “ค่อนข้างได้ผลน้อย” บางมาตรการกระตุ้นให้การระบาดกระจายไปไกล และเร็วขึ้น นั่นทำให้โควิด ในกรุงเทพฯ ยากจะควบคุม

คนป่วยจำนวนมากกว่า 90,000 คน (ข้อมูล 1 ก.ค. – 4 ส.ค. 64) ยังถูกส่งไปยังภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ใช้ทรัพยากรของชนบทดูแลรักษาชีวิตคนป่วยจากเมืองกรุง โดยกระทรวงสาธารณสุข รายงานว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งเดินทางไปที่ภาคอีสาน

การเดินทางมาตรวจเชิงรุกในกรุงเทพฯ ครั้งแรก ของทีมแพทย์ชนบท พบว่า ไม่ใช่แค่ข้อจำกัดในการควบคุมโรคระบาด แต่หมอจากชนบท เห็นว่า กรุงเทพฯ มีปัญหา สาธารณสุขทั้งระบบ ทำให้การเดินทางมาปฏิบัติการเชิงรุกในเมืองกรุง ครั้งที่ 2 และ 3 เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายชัดเจนยิ่งขึ้น ว่า

“ตรวจเร็ว รักษาทันที เร่งสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน”

ปฎิบัติการ แพทย์ชนบทบุกกรุง เกิดขึ้นทั้งหมด 3 รอบ ตลอดช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม ปี 2564

  • รอบแรก ตรวจไปทั้งสิ้น 19,871 คน พบติดเชื้อ 1,777 คน

  • รอบที่ 2 ตรวจไป 31,518 คน พบผู้ติดเชื้อ 5,086 คน

  • และรอบที่ 3 ตรวจไป 141,516 คน พบผู้ติดเชื้อ 15,588 คน

รวมตรวจทั้ง 3 รอบมีจำนวน 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อ 22,451 คน

ข้อมูลจากนักระบาดวิทยา ที่คิดคำนวนเบื้องต้นโดยอ้างอิงจาก CDC หรือ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หน่วยงานสาธารณสุขแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า มีค่าเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อใหม่ ที่ผู้ติดเชื้อ 1 คนสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ หรือ R-0 คือ 5-8

ถ้าหากไม่มีการคัดกรองผู้ติดเชื้อและกักโรคตามจำนวนดังกล่าว นักระบาดวิทยา ประเมินว่า จะเกิดการแพร่ระบาดไปถึงประชาชนได้อีกถึง 4 วงรอบภายใน 1 เดือน แต่ในที่นี้ถ้าลองคำนวณการระบาดเพียง 2 วงรอบ พบว่า จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากถึง 561,275 – 1,436,864 คน

ในจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีผู้สูงอายุจำนวน 20% เท่ากับ เมื่อใช้ตัวเลขชุดเดียวกันคำนวน หมายถึง อาจมีผู้สูงอายุติดเชื้อถึง 112,200 – 287,372 คน และพบว่า หากผู้สูงอายุติดเชื้อ จะมีความเสี่ยงสูง และมีอัตราการเสียชีวิตมากถึง 10.44%

นั่นหมายความว่า หากไม่มีการเข้ามาช่วยตรวจคัดกรองด้วย ATK ที่แพทย์ชนบทนำมาใช้ อาจจะมีผู้สูงอายุเสียชีวิตมากถึง 11,713 – 30,001 คน

หรือแม้แต่ในกรณีสำหรับผู้สูงอายุที่อาการรุนแรง ก่อนเสียชีวิต จะเข้ารับการรักษาภายใน ICU เฉลี่ยคนละ 7 วัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 10,000 บาท ถ้าลองคำนวนจากผู้สูงอายุ 30,001 คน ที่อาจจะเสียชีวิต เท่ากับว่า จะต้องใช้ทรัพยากรการรักษาในห้อง ICU อีกประมาณ 2,100,000,000 บาท

ทั้งหมดนี้เป็นการประเมิน และคิดคำนวณโดยนักระบาดวิทยา ถึงสิ่งที่จะตามมาในภาวะการระบาด หากผู้ติดเชื้อกว่า 22,000 คน ที่แพทย์ชนบทเจอนั้น ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการคัดกรองได้ทันเวลา

ดังนั้นการตรวจคัดกรองได้เร็ว จึงไม่เพียงช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อ ลดอัตราการตายในกลุ่มเปราะบางเท่านั้น การมาของแพทย์ชนบท ยังช่วยให้ชาวบ้านในชุมชนได้รับการประเมินอาการอย่างรวดเร็ว ได้เข้าถึงยา และวัคซีนทันเวลา

ครั้งแรก! กับการจ่ายยาต้านไวรัสในชุมชน

โดยมีผู้ติดเชื้อในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือกลุ่มสีเขียว ได้รับยาฟ้าทะลายโจรกลับบ้านทันที ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อย จะได้รับ ยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ที่มีการจ่ายยาต้านไวรัสชนิดนี้ในชุมชน ในภารกิจนี้ได้จ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ไปทั้งสิ้น 467,150 เม็ด

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ในขณะนั้น) เคยเปิดเผยกับ The Active ย้ำว่า นี่คือปฏิบัติการทลาย มายาคติของระบบการแพทย์ ที่ผูกขาดการจ่ายยาไว้ที่ ผู้เชี่ยวชาญ เพราะก่อนหน้านี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ ถูกกำหนดด้วยมาตรฐานการรักษาที่กรมการแพทย์ ให้แนวทางไว้ ว่า ผู้จ่ายยาควรเป็นอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ และจ่ายยาที่โรงพยาบาลเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยล้นเตียงโรงพยาบาล ต้องเปิดโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง ผู้ป่วยต้องยอมกักตัวรักษาตัวเองที่บ้าน และบางคนต้องไปอยู่ศูนย์พักคอยนาน จำเป็นต้องทำให้ยานี้จ่ายได้โดยง่าย เพื่อลดอัตราการป่วยรุนแรง ลดการใช้เตียง ICU ต้องทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตคนไว้

เร่งฉีดวัคซีน ลดโอกาสตายแม้ได้รับเชื้อ

7,761 คน คือ ตัวเลขของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกในปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุง กู้ภัยโควิด-19 ในครั้งที่ 3 เมื่อตรวจคัดกรองแล้วผลเป็นลบ และเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อแล้วอาการหนัก หรืออาจเสียชีวิต จะได้รับการพิจารณาให้ฉีดวัคซีนทันที

นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินี ณ อำเภอนาทวี จ.สงขลา ซึ่งร่วมปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงในเวลานั้น บอกว่า ได้บริหารวัคซีนที่ได้รับหน่วยละ 10 ขวด ให้สามารถดึงยาได้ถึง 120 โดส ทำให้ฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จึงได้ขยายนิยามคนทำงานด่านหน้าด้วย

“ทีม รพ.นาทวี ได้ฉีดวัคซีนให้สัปเหร่อที่วัดสุทธิสะอาด ย่านนิมิตรใหม่ เขตคลองสามวา 3 คน ในขณะที่พวกเขาช่วยกันเผาศพผู้ติดเชื้อ เฉลี่ยวันละ 2-3 ศพต่อวัน สัปเหร่อ สารภาพเลยว่า ถ้าหมอไม่มาฉีดวัคซีนให้ถึงที่แบบนี้ ผมก็ไม่มีโอกาสไปฉีดแบบคนอื่น ต้องอยู่จัดการศพที่วัด

นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ

นพ.สุวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่วัด และลุง ๆ สัปเหร่อเหล่านี้ ถือเป็นบุคคลากรด่านหน้า เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จึงเป็นกลุ่มที่ต้องเข้าถึงวัคซีน

ปฏิบัติการกู้ภัยโควิด-19 ที่แพทย์ชนบท เข้ามาร่วมกับหน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองเชิงรุกที่ครอบคลุม กว้างขวาง และรวดเร็ว สามารถที่จะลดอัตราการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรคด้วยการรักษาเร็ว ที่สำคัญคือลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้

เพราะแต่ละชีวิตที่ต้องตายไป ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข…

ปฏิบัติการทุ่มสุดตัว ทลายทุกข้อจำกัด ของขบวนการแพทย์ชนบทในเมืองกรุงที่เกิดขึ้น พิสูจน์แล้วว่า ตัวเลขการติดเชื้อที่ถูกรายงานให้สังคมได้รับรู้กันอย่างกว้างขวางในเวลานั้น คือ แต่ละ ชีวิต ที่มีความหมาย และผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าทุกคน ได้ช่วยกัน รักษา เอาไว้ได้ ด้วยความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ข้อจำกัดต่าง ๆ เป็นอุปสรรคในภาวะวิกฤต

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active