“กระชากหน้ากาก ธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคติน เสพติด จน ตาย”
เป็นคำขวัญที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดขึ้นเนื่องใน “วันงดสูบบุหรี่โลก” 31 พฤษภาคมปีนี้ ถือเป็นการตอกย้ำถึงอันตรายของ บุหรี่ – บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งคนไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงนี้ เพราะแม้ผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคยาสูบแบบมีควันของประชากรไทย ปี 2534 – 2567 พบว่า ไทยสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่จาก 32% ในปี 2534 เหลือเพียง 16.5% ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลงสูงถึง 48.4%
แต่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ก็เผยให้เห็นอีกมุมของความน่ากังวลในสถานการณ์นี้ เมื่อพบว่า คนอายุ 15 ปีขึ้นไป ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.4 เท่า ระหว่าง ปี 2564 – 2567 จากเกือบ 80,000 คน เป็น 900,000 คน
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจ คือ ในจำนวน 900,000 คน ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า มีประมาณ 1 ใน 4 (214,863 คน) ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว ประมาณครึ่งหนึ่ง (506,949 คน) สูบทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ที่เหลือสูบบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับบุหรี่หลายชนิดรวมกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือ งานวิจัยพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าร่วมกับการสูบุหรี่มวน อันตรายมากกว่าการสูบบุหรี่มวนหรือสูบบุหรี่ไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว
อีกข้อมูลที่น่าสนใจ ศ.นพ.ประกิต ชี้ให้เห็นว่า นักสูบหน้าใหม่ 130,000 คน ในปี 2567 มีถึง 28.4% เริ่มจากสูบบุหรี่ไฟฟ้า เทียบกับปี 2564 ที่นักสูบหน้าใหม่ 150,000คน ที่ 5.4% เริ่มจากบุหรี่ไฟฟ้า
“รูปการณ์เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ว่า บุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้เกิดกลุ่มประชากรรุ่นใหม่ที่เสพติดนิโคติน”
สอดคล้องกับข้อมูลจาก ผศ.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ และกรรมการบริหารแผน คณะที่ 3 สสส. ย้ำว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยมีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าห่วง ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าพัฒนาให้มีรูปลักษณ์หลากหลายมากขึ้น มีกลิ่นและรสชาติมากกว่า 18,000 กลิ่น และราคาถูก เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ซึ่งปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าได้พัฒนาถึง 5 Gen โดยล่าสุด คือ “ทอยพอด” (Toy Pod) ออกแบบให้มีลักษณะเหมือนของเล่น ตุ๊กตา สมาร์ตวอช ทำให้ยากต่อการสังเกต และ “นิโคตินเพาช์” (Nicotine Pouch) หรือ นิโคตินถุง รวมทั้งพอดจมูก หรือ บุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบยาดม`แม้จะไม่มีควันและไม่มีกลิ่น แต่มีปริมาณนิโคตินสูงกว่าบุหรี่ธรรมดาหลายเท่า
“ที่น่ากังวล คือ ผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงและเกิดขึ้นเร็ว โดยมีรายงานเด็กปอดรั่ว-ปอดอักเสบ จากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยเพียง 12-14 ปี และยังพบเด็กเล็กวัยเพียง 1 ขวบ 7 เดือน ที่สูบบุหรี่ และดื่มน้ำกระท่อมภายในครอบครัว เป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการควบคุมและป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน”
ผศ.ลักขณา เติมศิริกุลชัย
คำถามสำคัญในเวลานี้ นอกจากความพยายามสื่อสารข้อมูล เน้นย้ำถึงพิษภัย และความอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า แต่ทำไม ? เด็ก เยาวชนไทย ยังเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย และกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ที่อาจส่งผลให้ชีวิตและสุขภาพในอนาคตตกอยู่บนความเสี่ยงจากบุหรี่ หรือกฎหมายไทย ไม่เข้มงวด จริงจังมากพอกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
เนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก The Active ชวนสำรวจแง่มุมของกฎหมาย อะไร ? ยังเป็นช่องโหว่ให้การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า มันยากเย็นแบบนี้ ผ่านมุมมองของ วศิน พิพัฒนฉัตร ผู้จัดการหน่วยวิชาการเครือข่ายนักสาธารณสุขจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ (สปสส.)
ปัจจุบันประเทศไทย มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง บุหรี่ไฟฟ้า ทั้งหมด 4 ฉบับ ได้แก่
- พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 : ห้ามสูบในที่สาธารณะ ได้แก่ บารากู่ / บารากู่ไฟฟ้า, บุหรี่ไฟฟ้า (ที่มีนิโคติน) ซึ่งเป็นกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข มีบทลงโทษ ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5,000 บาท
- พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 : ห้ามครอบครอง มีบทลงโทษ ตาม ม.246 วรรค 1 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับ 4 เท่าของราคาของรวมค่าอากร หรือทั้งจำทั้งปรับ
- คำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ที่ 24/2567 (ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562) : ห้ามผลิตเพื่อขาย ห้ามขายหรือให้บริการสินค้า บารากู่ /บารากู่ไฟฟ้า/ ตัวยาบารากู่/น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า / น้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีบทลงโทษ กรณีผู้ประกอบธุรกิจ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 เรื่องกำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ห้ามนำเข้าสินค้า 3 ประเภท ได้แก่ บารากู่ / บารากู่ไฟฟ้า, บุหรี่ไฟฟ้า มีบทลงโทษ จำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นเงิน 5 เท่าของสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และริบสินค้านั้น

วศิน ชี้ให้เห็นว่า กฎหมายควรทำหน้าที่ในการ ห้ามบุหรี่ไฟฟ้า ไว้ก่อน เพราะบุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบต่อเยาวชน รวมถึงยังเป็นช่องทางที่จะนำไปสู่สารเสพติดชนิดอื่น ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลกก็มีมาตรการห้ามแบบเดียวกันนี้ พร้อมยืนยันว่า กฎหมายไทยไม่ได้ล้าหลังกว่าประเทศอื่น เพราะแนวโน้มของหลายประเทศที่ให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายก็เตรียมจะกลับมาห้ามแล้ว เนื่องจากมีความอันตรายและมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งมีรายงานออกมาหลายฉบับ ดังนั้น แนวคิดของการห้าม คือ เน้นการควบคุมเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกฎหมายของไทย ยังคงมีปัญหาในการตีความและการบังคับใช้
“ถามว่ากฎหมายเราเพียงพอไหม ในมุมของการใช้กฎหมาย ก็ยังมองว่ายังมีปัญหาในการตีความและการบังคับใช้กฎหมายอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะบังคับไม่ได้เลย มันขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ว่าจะตั้งใจในการบังคับใช้กฎหมาย หรือทุ่มเทมากน้อยแค่ไหน นี่คือประเด็นหลัก ผมว่าเอาเข้าจริง กฎหมายก็ไม่ได้นิยามคำว่า บุหรี่ไฟฟ้า อย่างชัดเจน ยังเป็นเพียงกฎหมายลำดับรอง ไม่ใช่กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ เช่น ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557”
วศิน พิพัฒนฉัตร
วศิน ยังอธิบายถึงข้อจำกัดของ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 เรื่องกำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ว่า การบังคับใช้จะผ่านเจ้าพนักงานศุลกากร ใช้กฎหมายศุลกากร ซึ่งกฎหมายศุลกากรมีกลไกการระงับคดีด้วยการเปรียบเทียบปรับ ทำให้ยากต่อการขยายผลกรณีที่มีการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาภายในประเทศ
ขณะที่ คำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ที่ 24/2567 (ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562) เรื่อง ห้ามผลิตเพื่อขาย ห้ามขายหรือให้บริการสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ก็มองว่า ไม่ครอบคลุมผู้ซื้อหรือผู้บริโภค และไม่อาจตีความได้ว่าผู้ซื้อเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคได้ เพราะเจตนารมณ์กฎหมายมุ่งคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่ลงโทษผู้บริโภค ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีภารกิจอื่นที่สำคัญในหลายเรื่อง ไม่ได้มีจุดเน้นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเพียงเรื่องเดียว ดังนั้น ถ้านโยบายผู้บริหารไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการบังคับใช้กฎหมาย
วศิน ยังย้ำว่า กฎหมาย 2 ฉบับดังกล่าว มีการกำหนดคำนิยามของบุหรี่ไฟฟ้ ไว้ แต่ก็ยังเป็นเพียง กฎหมายลำดับรอง ในขณะที่กฎหมายระดับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยังไม่มีการระบุคำนิยามของคำว่าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจน
แม้มี พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ที่อาจตีความหมายรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ เช่น “ผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคตินเป็นส่วนประกอบ” แต่ส่วนใหญ่ในตลาดที่อ้างว่าไม่มีนิโคติน มักมีการเติมสารนิโคตินเสมอ ซึ่งในกรณีถ้าแอบอ้างจำหน่ายให้บริการ หรือผลิตเพื่อขาย บุหรี่ไฟฟ้าแบบไม่มีสารนิโคติน จะเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยคุ้มครองผู้บริโภค แต่กฎหมายว่าด้วยคุ้มครองผู้บริโภคไม่มีบทลงโทษผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีสารนิโคตินในที่สาธารณะเหมือน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ
“ในมุมมองของผม ถ้าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีสารนิโคติน ก็ยังไปติดกฎหมาย สคบ. อยู่ดี แต่ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งในเชิงการบังคับใช้ คือ ไม่มีเจ้าภาพหลัก ทั้งที่ทุกกฎหมายที่มีมาตรการทางอาญา เรื่องการห้ามและปราบปราม ควรมีเจ้าภาพเพื่อคอยบังคับใช้ ซึ่งในกรณีบุหรี่ไฟฟ้า กลับอยู่ในมือของ สคบ. ซึ่งไม่ได้มีภารกิจแค่เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงสัญญาและปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องดูแล จึงเป็นปัญหาหลักของประเทศไทย เพราะหน่วยงานที่รักษากฎหมายยังไม่ได้เทคแอคชัน อาจเป็นปัญหาของข้อกฎหมายที่ยังตีความไปไม่สุดกระแสความ”
วศิน พิพัฒนฉัตร
วศิน ยังมองว่า บุหรี่ไฟฟ้ายังคงห้ามไว้เหมือนเดิม แต่ต้องมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องของมาตรการห้ามนำเข้าให้เข้มข้น และอาจต้องปรับปรุงให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีนิโคติน แต่ยังเป็นบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ เช่น ใช้สูบแล้วมีไอ ก็ต้องปรับปรุง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ และประกาศ สคบ. ให้มีความเข้มแข็งและสอดคล้องกันในการบังคับใช้
ส่วน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเกี่ยวข้อง ? วศิน อธิบายว่า มาจาก กระทรวงพาณิชย์อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. สินค้านำเข้าส่งออกฯ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 โดยได้ระบุในบางมาตราว่า ให้กรมศุลกากรเข้ามามีอำนาจในการบังคับใช้ ดังนั้น การนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาครอบครอง ก็จะเข้าข่ายผิดกฎหมายศุลกากร
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร ไม่มีบทบัญญัติคำว่า ครอบครองโดยตรง แต่ใช้การตีความผ่านคำว่า รับไว้ด้วยประการใด ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมถึงขอบเขตของการตีความว่ากว้างเกินไป
แต่ทั้งนี้ มีกรณีตัวอย่างของการบังคับใช้เกิดขึ้นจริงแล้ว จึงอาจสรุปได้ว่าสามารถนำมาใช้ดำเนินคดีกับผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าได้จริง ทั้งนี้ในภาพรวมของการบังคับใช้กฎหมาย สมควรมุ่งเน้นการดำเนินคดีกับผู้ขาย มากกว่า ผู้ครอบครอง เพื่อเป็นการลดการเข้าถึงของผู้บริโภคและต้นทุนทรัพยากรของเจ้าพนักงานในการบังคับใช้กฎหมาย

หรือต้องมีกฎหมายใหม่ควบคุมโดยเฉพาะ ?
วศิน ให้ความเห็นว่า กฎหมายที่มีอยู่พอจะบังคับใช้ได้ แต่เสนอว่าควรมียุทธศาสตร์ หรือ เป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนในเชิงของ “การห้ามไว้ก่อน” เพราะหากจะเปิดเสรีในสถานการณ์ที่กลไกการบังคับใช้กฎหมายยังไม่ดี ก็จะเกิดปัญหาเหมือนเดิม แม้อนาคตอาจจะมีกฎหมายควบคุมเฉพาะ แต่ถ้าไม่มีการบังคับใช้ที่ดีก็ไร้ประโยชน์
โดยเปรียบเทียบกับกรณีกัญชา ที่มีการกำหนดค่า THC เกินกว่ากฎหมาย ถือว่าเป็นยาเสพติด แต่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ระบุว่า ไม่มีเครื่องมือตรวจวัด ก็เช่นเดียวกับบุหรี่ไฟฟ้า ถ้าไม่มีเครื่องมือตรวจวัด ก็ไม่สามารถใช้กฎหมายควบคุมได้ ท้ายที่สุด เด็กและเยาวชนก็จะเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้มากขึ้น เพราะแม้มีกฎหมาย แต่บังคับใช้ไม่ได้จริง
“เราห้ามบุหรี่ไฟฟ้ามาตั้งแต่ต้น ต่างประเทศก็ยังห้าม ดังนั้นจึงสมเหตุสมผล ที่เราจะยังคงห้ามไว้ก่อน เหมาะสมที่สุด ก็ขอบคุณรัฐบาลเพราะตอนแรก เหมือนจะหาเสียงสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้า แต่พอเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น ก็ยอมปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ตราบใดที่กลไกการบังคับใช้กฎหมายของไทยเรายังไม่ดี ก็ห้ามไว้ก่อน การจะเสรี ควรเสรีในของที่มีประโยชน์ แต่บุหรี่ไฟฟ้า ผมยังนึกข้อดีของมันไม่ออก หรือที่บอกว่าช่วยเลิกบุหรี่ มันเลิกได้จริง หรือเราแค่ติดบุหรี่ไฟฟ้าแทน ในที่สุดก็ติดบุหรี่อยู่ดี”
วศิน พิพัฒนฉัตร
สรุปทิ้งท้ายว่า ปัญหาในเชิงระบบการบังคับใช้หลัก ๆ มี 2 ประเด็น คือ
- ไม่มีเจ้าภาพหลักโดยตรงคอยบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ สคบ.แม้ปัจจุบันทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายได้ดีในเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า แต่ สคบ.เองก็มีภารกิจในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ที่ไม่ใช่แค่เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า
- ปัญหาความมั่นคงของ กฎ ที่ใช้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจาก การควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ขณะนี้เป็นรูปแบบของกฎหมายลำดับรองที่อาจถูกแก้ไข หรือถูกยกเลิกได้โดยง่าย ไม่ใช่ กฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่มีนิติฐานะมั่นคงมากกว่าในการแก้ไขหรือยกเลิก