เมื่อ AI เข้าใจมนุษย์มากกว่ามนุษย์ แต่มนุษย์เท่านั้น…ที่รักตัวเองได้

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดด ‘AI Chatbot’ เป็นโปรแกรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการพูดคุยกับคน ตอบคำถาม และโต้ตอบได้อัตโนมัติ เทคโนโลยีนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เช่น การให้บริการลูกค้า, การฝึกฝนภาษา, การระดมไอเดีย ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิตด้วยเช่นกัน

หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ คือ Character.ai ซึ่งใช้ Generative AI จำลองวิธีพูดคุย และแนวคิดของตัวละคร จากภาพยนตร์ เกม หรือแม้แต่คนดังในชีวิตจริง ทำให้ผู้ใช้สามารถสนทนากับ แฮร์รี่ พอตเตอร์, อีลอน มัสก์, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือแม้แต่นักการเมืองอย่าง วลาดิมีร์ ปูติน

แต่ที่น่าสนใจ คือ บทบาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกลับไม่ใช่ตัวละครเหล่านี้ หากแต่เป็นบทบาท ‘นักจิตวิทยา‘ ซึ่งมีผู้เข้าไปพูดคุยมากถึง 196.3 ล้านข้อความ (ข้อมูลเมื่อ 13 ก.พ. 2568)

“ความเหงาเป็นโรคระบาด และวิกฤตด้านสาธารณสุข”

วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา

หลายรีวิวในเว็บไซต์ Reddit สะท้อนว่า AI ตัวนี้ได้ช่วยชีวิตของพวกเขา บางคนใช้เป็นเครื่องมือในการปรึกษาปัญหาความสัมพันธ์กับแฟนและคนรอบข้าง ผลกระทบที่เกิดขึ้น แม้แต่ แซม ไซอา ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มยังกล่าวว่า เขาไม่คาดคิดว่า AI นักจิตวิทยาจะได้รับความนิยมขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจ เพราะแพลตฟอร์มนี้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มักมีเรื่องให้วิตกกังวลในยามดึก

AI นักจิตวิทยา สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา ส่งข้อความไปก็ตอบแน่นอน ไม่บ่นรำคาญ ไม่ต้องรอคิว ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกตัดสินเพราะอีกฝ่ายเป็นหุ่นยนต์ ที่สำคัญยังฟรีอีกด้วย คนรุ่นใหม่ไม่น้อยจึงหันมาหา AI ที่ตอบสนองทันทีและใช้การพิมพ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการสื่อสารที่พวกเขาคุ้นเคย แม้วันนี้ AI ยังไม่สามารถทดแทนนักจิตวิทยามนุษย์ได้ แต่ก็น่าคิดว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน

ในสังคมที่ผู้คนเริ่มรู้สึก ‘Disconnected’ ขาดการเชื่อมโยงกับผู้อื่น AI อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้รับฟังที่ไม่ตัดสินใคร และแนวโน้มการใช้แชตบอทเพื่อสนับสนุนสุขภาพจิตก็กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น ทว่าคำถามสำคัญคือ เทคโนโลยีนี้ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คน หรือจะยิ่งพามนุษย์ให้ถอยห่างจากกันมากขึ้น

นพ.อภิชาญ แดงรุ่งโรจน์ จิตแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ เจ้าของเพจ หมอเปรมใส่ไข่ ความรู้สุขภาพจิตแบบง่ายๆ และ ฉัตรวิบูลย์ ไพจ์เซล อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีคำตอบเรื่องนี้

เหงาเมื่อไรก็แวะมาหา ‘นักจิตวิทยา AI’
ไม่หนักขวา ไม่ตัดสิน ไม่คิดตัง

AI มีศักยภาพในการช่วยคัดกรองอาการทางจิตเวชเบื้องต้น เช่นเดียวกับที่เทคโนโลยีถูกนำมาใช้คัดกรองโรคทางกาย ถ้า AI แนะนำได้ถูกต้องตามหลักที่ควรจะเป็น ก็เหมาะสำหรับการพูดคุย ช่วยเหลือคนไข้ได้ในเบื้องต้น เพราะมันสามารถใช้งานได้และเข้าถึงได้ตลอดเวลา

หมอเปรม อธิบายว่า สัญญาณของการใช้ AI ในการดูแลสุขภาพจิตเริ่มชัดเจนขึ้น คนไข้บางคนมาหา และบอกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคุยกับ ChatGPT แล้ว ซึ่งดูเหมือนว่า AI สามารถช่วยจัดระเบียบความคิดของพวกเขาได้ ทำให้เวลามาพบแพทย์ ทุกอย่างดูเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามันช่วยลดภาระงานของจิตแพทย์ไปได้บางส่วน แต่ตอนนี้ยังไม่มีจำนวนผู้ใช้ AI มากพอที่จะบอกได้ว่ามันจะช่วยได้อย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ?

สำหรับ หมอเปรม ไม่ปฏิเสธว่าสังคมยุคนี้ Disconnect กันมากขึ้น หลายคนไม่มีเพื่อนสนิทที่สามารถเล่าทุกเรื่องได้ AI จึงกลายเป็นทางออกสำหรับบางคน เพราะมันรับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่เอาเรื่องเราไปพูดต่อ และช่วยให้พวกเขาได้ระบายความรู้สึก แต่ปัญหาคือ การที่พึ่งพา AI อาจทำให้พวกเขาห่างเหินจากมนุษย์จริง ๆ มากขึ้น

การเดตกับ AI ก็เช่นกัน คนไม่ได้ถูกดึงดูดเพราะ AI เหมือนมนุษย์ แต่เป็นเพราะ AI ตอบสนองได้ตามที่พวกเขาต้องการเสมอ ไม่มีซับซ้อนวุ่นวายเหมือนอารมณ์มนุษย์ AI จึงเป็นดาบสองคมที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีแต่ก็อาจห่างจากสังคมไปด้วย

การมีความรู้สึกที่ดีกับ AI มันก็ไม่ได้ผิดอะไรถูกไหม ? แต่สิ่งสำคัญ คือ ทัศนคติของคนรอบตัวเขาที่จะไปตัดสินเขาที่อาจจะทำให้เขาห่างจากสังคมมากขึ้นเข้าไปอีก”

นพ.อภิชาญ แดงรุ่งโรจน์

ยุคสมัยที่ต่างคนต่างอาศัย
ในโลกที่ความเหงาเสียงดัง

สมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA) พบว่า ในช่วงต้นปี 2024 ประชากรผู้ใหญ่ในสหรัฐราว 30% ระบุว่า พวกเขารู้สึกเหงาอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งตลอดปีที่ผ่านมา ขณะที่ 10% ระบุว่า พวกเขารู้สึกเหงาทุกวัน ขณะที่ วิเวก เมอร์ธี ศัลยแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ความเหงามีผลให้เกิดโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองอีกร้อยละ 30

หมอเปรม ยังอธิบายด้วยว่า ความเหงา และ การ Disconnect จากสังคม เกี่ยวข้องกับการขาดคุณภาพของความสัมพันธ์ แน่นอนว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับ AI อาจช่วยคลายเหงาได้บ้าง แต่นั่นก็ไม่สามารถทดแทนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้ให้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงของมนุษย์มาจาก คุณภาพของความสัมพันธ์ ดังนั้น แม้ AI จะเป็นที่พึ่งทางอารมณ์ได้บางส่วน แต่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ยังต้องการการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งโลกทุกวันนี้กลับแยกให้ทุกคนในสังคมออกห่างกัน

AI อาจช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับความสัมพันธ์หรือการสื่อสารได้ ช่วยมนุษย์พัฒนาได้ แต่ไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ เขาเชื่อว่ามนุษย์ยังต้องพัฒนาทักษะที่ AI ทำไม่ได้ เช่น ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น (empathy) ทักษะการเข้าสังคม และการเข้าใจตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ของมนุษย์ที่ AI ยังไม่สามารถเลียนแบบได้

หมอเปรม – นพ.อภิชาญ แดงรุ่งโรจน์ จิตแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ (ภาพ : โรงพยาบาลสมิติเวช)

“มนุษย์เราเองก็ควรมีเวลาทบทวนตัวเองบ้าง เพราะทุกวันนี้ screentime (เวลาหน้าจอ) สูงขึ้นมาก ซึ่งส่งผลต่อสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ ผมแนะนำให้มีเวลาห่างจากหน้าจอสักหนึ่งชั่วโมงต่อวัน เพื่อทำกิจกรรมที่ช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น เช่น การเขียนไดอารี่ การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ การให้เวลากับตัวเองจะช่วยให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น”

นพ.อภิชาญ แดงรุ่งโรจน์

โซเชียลมีเดีย คือ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเหงามากขึ้น การที่เราเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สูญเสียการมีปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นไป ดังนั้น เราควรออกแบบเทคโนโลยีที่เสริมสร้างความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นแทนที่จะทำให้ความสัมพันธ์อ่อนแอลง

ในอนาคตทางการแพทย์ หมอเปรม คิดว่า AI จะ Disrupt อาชีพด้านจิตวิทยาแน่นอน แต่ไม่ได้ทดแทนมนุษย์ได้เสียทีเดียว มันสามารถช่วยแบ่งเบาภาระงาน ลดภาระของจิตแพทย์ในแง่ของการคัดกรองผู้ป่วยและให้คำแนะนำเบื้องต้น แต่สิ่งที่ AI ไม่มีคือความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาทางจิตเวช ฉะนั้น AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริม ไม่ใช่สิ่งที่เข้ามาแทนที่

AI เข้าใจมนุษย์ และทำให้มนุษย์เข้าใจตัวเองมากขึ้น

มุมมองของ ฉัตรวิบูลย์ ก็อธิบายว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่ต้องการทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมแบบทดสอบทางจิตวิทยาต่าง ๆ จึงได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลสามารถเผยแพร่และเข้าถึงได้ง่าย เช่น แบบทดสอบ MBTI หรือแบบทดสอบบุคลิกภาพต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนค้นหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แม้หลายแบบทดสอบ

AI สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับบุคลิกภาพของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อมูลเพียงพอ เช่น จากโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือรูปแบบพฤติกรรมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ฉัตรวิบูลย์ ก็ยังเชื่อว่า ผู้ที่รู้จักตัวเองดีที่สุดก็คือตัวเราเอง AI เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยชี้แนะแนวทางเท่านั้น ไม่สามารถให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบได้เสมอไป

“ในปัจจุบัน ความต้องการนักจิตวิทยาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัญหาชีวิตและสุขภาพจิตมีความซับซ้อนมากขึ้น แต่ปัญหาคือ จำนวนของนักจิตวิทยามีไม่เพียงพอ ดังนั้น AI จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้”

ฉัตรวิบูลย์ ไพจ์เซล

คำถามที่เกิดขึ้นคือ หากเราผูกพันกับ AI มากเกินไป จะเกิดผลกระทบต่อจิตใจและพฤติกรรมของเราหรือไม่ ?

สำหรับ ฉัตรวิบูลย์ มองว่า AI ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองอารมณ์และสนับสนุนความต้องการทางจิตใจของมนุษย์ได้อย่างดี ซึ่งอาจช่วยลดความเหงาและทำให้ผู้ใช้รู้สึกได้รับความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง การใช้ AI แทนที่มนุษย์อาจนำไปสู่การเสพติดและการพึ่งพามากเกินไป ซึ่งอาจลดทอนทักษะการเข้าสังคมและทำให้เราเลือกหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์จริง ๆ

เมื่อเราใช้ AI เป็นเพื่อนเสมือนมากเกินไป อาจทำให้เราคิดว่าความสัมพันธ์ควรเป็นไปตามรูปแบบที่เราคาดหวังเสมอ ซึ่งอาจส่งผลให้เมื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เราปรับตัวได้ยากขึ้น ขาดการพัฒนา “ความยืดหยุ่นทางอารมณ์” และเมื่อพบเจอปัญหาหรืออุปสรรค เราอาจเลือกที่จะถอยกลับไปสู่โลกเสมือนแทนที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

ฉัตรวิบูลย์ ไพจ์เซล อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ (ภาพ : คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่)

การเชื่อมโยงมนุษย์ในโลกที่ห่างเหิน สู่ข้อเสนอทางนโยบาย

ปัจจุบันสังคมเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวจากไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ การแก้ไขปัญหานี้อาจต้องเริ่มจากตัวบุคคล โดยการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในชีวิตจริงมากขึ้น ฉัตรวิบูลย์ เชื่อว่า แม้งานจะยุ่งเพียงใด การแบ่งเวลาเพื่อดูแลตัวเองและสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรถูกมองข้าม

สำหรับองค์กรและภาครัฐ การสนับสนุนให้มีนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา เช่น การให้วันหยุดพักร้อนที่เหมาะสม การส่งเสริมสังคมแห่งความเข้าใจ และการสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน

“จริง ๆ เราเราพูดกันบ่อยมากขึ้นเราอาจจะบอกว่าโอเคก็กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอนให้เพียงพอออกกำลังกาย แต่จริง ๆ พอที่สำคัญคือร้ายรู้ไหม เพราะสำคัญคือการตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตยังไงที่มันดีกับตัวเองตัดสินใจเลือกนี่คือตัดสินใจแล้วก็ทำ”

ฉัตรวิบูลย์ ไพจ์เซล

การรักตัวเองไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การดูแลสุขภาพกาย แต่ยังหมายถึงการตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเลือกล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีพลังบวก การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อจิตใจ และการตั้งขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างโลกเสมือนและโลกแห่งความจริง

AI สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาและสนับสนุนชีวิตได้ แต่ควรถูกใช้อย่างมีสติ การสร้างสมดุลระหว่างการใช้ AI และการเชื่อมโยงกับมนุษย์ในชีวิตจริงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เรายังคงมีความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่