เร่งฟื้นป่าบุ่งป่าทามแม่น้ำสงคราม​ แหล่งอนุบาลปลาน้ำโขง

หลังแม่น้ำสงครามตอนล่าง ขึ้นทะเบียน​เป็นแรมซาร์​ไซต์​แห่งที่​ 15​ ของไทย​ ด้าน WWF​ จ่อดัน​ หนองหาร​ สกลนคร​ เป็นแรมซาร์​ไซต์


เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2563 เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) มอบประกาศนียบัตรรับรองการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการจาก​ UNESCO ให้พื้นที่ลุ่มน้ำ แม่น้ำสงครามตอนล่าง​ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับโลกแรมซาร์​ไซต์​ ลำดับที่ 2,420​ ของโลก​ ลำดับที่ 15 ของประเทศไทย​

สยาม​ ศิริมงคล​ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม​ กล่าวว่า​ พื้นที่แม่น้ำสงครามตอนล่างในอดีตเป็นแหล่งน้ำจืดที่ประสบปัญหาการจัดการ​ พบความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ​ มีน้ำท่วมขังและมีข้อมูลการบุกรุกทำลายป่าในเขตต้นน้ำที่จะใช้น้ำในการเกษตร

ด้วยความตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อม จึงร่วมมือกับเครือข่าย​ฯ​ เริ่มโครงการฟื้นฟูลุ่มน้ำสงครามตอนล่างมาตั้งแต่ปี 2559​ ประสานความร่วมมือกับ 50 หมู่บ้าน ในพื้นที่ 34,000 ไร่ เน้นการทำเกษตรอย่างยั่งยืนลดการใช้สารเคมีที่อาจปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำ​ รวมถึงการจัดการขยะ​ และของเสียที่ปล่อยสู่แหล่งน้ำ กำหนดเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา จนผลักดันให้ขึ้นทะเบียน​เป็นแรมซาร์​ไซต์​ได้สำเร็จในปีนี้​ นับเป็นแรมซาร์​ไซต์​แห่งแรกที่เป็นแม่น้ำ

ด้าน ยรรยง​ ศรีเจริญ​ ผู้จัดการโครงการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล​ ประเทศไทย (WWF) กล่าวว่าแม่น้ำสงคราม​ เป็นหนึ่งในลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงที่ยังไม่มีเขื่อนกั้น​ มีความสำคัญมากเชิงนิเวศ​ เป็นเหมือนอู่ข้าวอู่น้ำของแม่น้ำโขง​ ช่วยขยายพันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารหล่อเลี้ยงประชากรกว่า 60 ล้านคนใน 4 ประเทศ​ ดังนั้น การขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์​ไซต์​ ช่วยป้องกันการบุกรุกพื้นที่​ และช่วยสร้างความชัดเจนในการอนุรักษ์ฟื้นฟู​ และใช้ประโยชน์ได้อย่างชาญฉลาด​ และยั่งยืน​

“แม่น้ำสงคราม​ เป็นแหล่งน้ำจืดที่มีระบบนิเวศหายาก​ คือ​ ป่าบุ่งป่าทามผืนใหญ่​ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาน้ำจืด​ และเป็นแหล่งวางไข่ของพันธุ์​ปลาจากแม่น้ำโขง​ ที่อพยพมาเพื่อผสมพันธุ์ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีการสำรวจพบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย 124 ชนิด​ หนึ่งในนั้นคือปลาบึก ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดที่กำลังใกล้สูญพันธุ์ และพันธุ์พืชอีก 208 ชนิด​ จึงมีความสำคัญทั้งเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจท้องถิ่นภูมิภาค”


โดยหลังประสบความสำเร็จในการจัดการพื้นที่ลุ่มแม่น้ำสงครามตอนล่างขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ ได้มีการวางพื้นที่ถัดไปที่จะดำเนินการต่อ คือ หนองหาร​ จังหวัดสกลนคร

ด้าน​ นันทวัฒ​ ศรีหะมงคล​ ผู้ใหญ่บ้าน​ ม.9​ บ้านแก้วปัดโป่ง​ ต.ไชย​บุรี​ อ.ท่าอุเทน​ จ.นครพนม​ กล่าวว่า​ มีความหวังอย่างมากว่าการที่แม่น้ำสงครามตอนล่าง​ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์​ไซต์​ จะช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟู​ธรรมชาติดั้งเดิมให้คงอยู่ตลอดไป​ เพราะที่ผ่านมามีหลายโครงการชลประทานที่จะเข้ามาสร้างในพื้นที่​ เช่น​ เขื่อนและประตูระบายน้ำ​ ซึ่งชาวบ้านกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และกระทบต่อพันธุ์ปลาที่เคยจับได้

“ยืนยันได้ว่าชาวประมงพื้นบ้านที่นี่สามารถจับปลาได้มากกว่า​ แม่น้ำชี​และแม่น้ำมูล​ ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงเหมือนกันแต่มีเขื่อนกั้น โดยเฉลี่ยแล้วมีรายได้จากการหาปลาเดือนละ 10,000 บาท ชาวบ้านจึงต้องการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำเอาไว้เพื่อให้มีปลามาก ๆ”


ด้าน​ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช​ เลขาธิการ สผ.​ กล่าวว่า​ การขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำโลก​ แรมซาร์ไซต์​ ไม่ได้หมายความว่าห้ามโครงการขนาดใหญ่เข้ามาตั้งในพื้นที่​ เพียงแต่เป็นการบ่งบอกให้รู้ถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่พัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างชาญฉลาด​ เช่น การเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันก็ยอมรับว่าปัญหาพื้นที่ชุ่มน้ำอีกหลายแห่งเสื่อมโทรม​ ถมสร้างเป็นอย่างอื่น​ เป็นปัญหาใหญ่ของไทยที่กำลังเผชิญอยู่​ จึงมีแผนในการฟื้นฟูให้พื้นที่ชุ่มน้ำ​ กลับมาทำหน้าที่​ ในการเป็นพื้นที่รับน้ำหลาก​ และกำลังศึกษาความสามารถในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ร่วมกับนานาชาติอย่างจริงจัง​

ล่าสุด เตรียมจัดทำแผนฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำทั้ง 15 แห่งของไทยที่ขึ้นทะเบียน​เป็นแรมซาร์​ไซต์​ โดยจะนำร่อง​ก่อน 5​ แห่ง​ คือ​ ทุ่งสามร้อยยอด​ จ.ประจวบคีรีขันธ์​ ดอนหอยหลอด​ จ.สมุทรสงคราม​ บึงกุดทิง และบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ​ และแม่น้ำสงคราม​ตอน​ล่าง​ จ.นครพนม​

Author

Alternative Text

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS