หลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯ สนธิกำลัง “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร” เมื่อ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา พบพื้นที่บุกรุกแผ้วถางอย่างเห็นได้ชัด 18 แปลง กว่า 154 ไร่ “บางกลอยบน”
วันนี้ (26 ก.พ. 2564) พนัชกร โพธิบัณฑิต ผู้อำนวยการป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และ เนตรนภา งามเนตร ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ ร.ต.อ. วรพงษ์ ดีเวียง พนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อให้ติดตามกลุ่มบุคคล ที่บุกรุกแผ้วถางป่าและเผาป่า ในพื้นที่ป่าบางกลอยบน หมู่ 1 ต.ห้วยแม่เพียง อ.แก่งกระจาน และให้สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่า (พญาเสือ) เจ้าหน้าที่ส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่สำนักงานสนับสนุนการป้องกันปราบปรามที่ 1 (ภาคกลาง) เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ เจ้าหน้าที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 144 เจ้าหน้าที่กองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 1 (ค่ายฝึกการรบพิเศษแก่งกระจาน) และเจ้าหน้าที่กองการบิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ป้องกันรักษาอนุรักษ์ทรัพยากรตาม “ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร”
โดยได้ร่วมกันดำเนินการตรวจยึด พื้นที่บุกรุก แผ้วถาง พื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน บริเวณป่าบางกลอยบน หมู่ที่ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตรวจพบพื้นที่ที่ถูกบุกรุก แผ้วถางอย่างเห็นได้ชัด จำนวน 18 แปลง เนื้อที่รวม 154 ไร่ 1 งาน 22 ตารางวา ซึ่งคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและภาพถ่ายดาวเทียมในห้วงเวลาต่าง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 ถึง พ.ศ. 2556 ไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์แต่อย่างใด และตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-2 เริ่มพบการแผ้วถางตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2564 และมีการบุกรุกแผ้วถางเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เห็นได้อย่างชัดเจนจากภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 และวันที่ 13 ก.พ. 2564
การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ฐานยึดถือหรือครอบครองที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้เสื่อมสภาพหรือเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ไปจากเดิม ตามมาตรา 19 (1) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบมาตรา 41 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีความผิดตามวรรคหนึ่ง ถ้าได้กระทำในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 หรือพื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้นที่ 2 ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศหรือความหลากหลายทางชีวภาพ ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งกึ่งหนึ่ง และฐานเก็บหา นำออกไป กระทำด้วยประการใด ๆให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ ปิโตรเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใด อันส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ตามมาตรา 19 (2) แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบมาตรา 42 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฐานกระทำการหรืองดเว้นกระทำการไม่ว่าจงใจหรือประมาทเลินเล่อโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยานสวนพฤกษศาสตร์ หรือสวนรุกขชาติ ผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนั้น ตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ในการดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้เรียกค่าเสียหายตามมาตรา 40 ไปในคราวเดียวกัน ตามมาตรา 62 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 บรรดาระเบียบหรือประกาศใด ๆ ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ทั้งนี้ คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกการตรวจยึด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แก่งกระจาน เพื่อดำเนินการติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาสอบสวนดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดตามฐานความผิดดังกล่าวข้างต้น ต่อไป