จัดทำแผนคัดเลือกพื้นที่ที่ต้องได้รับวัคซีนก่อนตามความเสี่ยง เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 ที่โรงแรมดิเอ็มเพรส อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขส่วนกลางและส่วนภูมิภาคนอกสถานที่ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ – โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมกว่า 400 คน
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข เป็นกระทรวงด้านเศรษฐกิจและสังคม นำศักยภาพที่มีอยู่มาช่วยพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขมีบทบาทสำคัญในการควบคุมป้องกันโรค ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและประชาชน เกิดการเรียนรู้และเกิดผลงานด้านวิชาการใหม่ ๆ ด้านการควบคุมป้องกันโรค เช่น สมุทรสาครโมเดล รพ.สนาม มาตรการ Bubble and seal เป็นต้น ทำให้ได้ข้อมูลว่าหากพื้นที่นั้นมีภูมิคุ้มกันหมู่ร้อยละ 60 ร่วมกับการป้องกันตนเอง จะช่วยลดการแพร่ระบาดได้ นอกจากนี้ยังมีวัคซีนโควิด 19 ที่ต้องมีการวางแผนกระจายวัคซีนระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลมั่นใจและเตรียมวางแผนเปิดประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศสามารถดำเนินการได้
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวต่อว่า การบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 นับเป็นเครื่องมือป้องกันโรคอีกอย่างหนึ่ง ช่วยในการเปิดประเทศได้อย่างมั่นใจ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการจองและสั่งซื้อวัคซีนอย่างเร่งด่วน จาก บริษัท ซิโนแวค ในระยะที่ 1 จำนวน 2 ล้านโดส กระจายฉีดใน 13 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ระบาด และ 5 จังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งในระยะต่อไปจะมีวัคซีนจาก บริษัท แอสตราเซเนกา จำนวน 61 ล้านโดส และมีมาเพิ่มอีกจำนวน 5 ล้านโดส จากการสนับสนุน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด นอกจากนี้ ยังมีแผนสั่งซื้อเพิ่ม เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2564 เนื่องจากเป็นการฉีดวัคซีนจำนวนมากครั้งแรกของประเทศ จึงต้องมีการซักซ้อม วางแผน เพื่อให้การให้บริการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้สั่งการให้ทุกจังหวัด จัดทำแผนการฉีดวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมาย
“การฉีดวัคซีนครั้งนี้ เป็นการฉีดครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศที่เคยมีมา ตั้งเป้าฉีดเข็มแรกให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน เฉลี่ยเดือนละมากกว่า 10 ล้านโดส ในโรงพยาบาลกว่า 1,000 แห่ง ทุกโรงพยาบาลต้องทำแผนคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ตามความเสี่ยง เช่น จังหวัดท่องเที่ยว พื้นที่ชายแดน พื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อมีผลในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย”
“อนุทิน” ชี้ วัคซีนยิ่งฉีดมาก ประเทศยิ่งปลอดภัย
ด้าน อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวระหว่างนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี เข้ารับการฉีดวัคซีน แอสตราเซเนกา เพื่อป้องกันโควิด-19 ว่า เมื่อคนในประเทศได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้นเท่าไร ประเทศจะยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ระบุไว้ว่า “Nobody is safe until everybody is safe จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย” และเป้าหมายของรัฐบาลคือทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนอย่างครบถ้วนตามความสมัครใจ โดยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ มีผู้ได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็มที่ 1 แล้วกว่า 50,000 ราย ใน 13 จังหวัด คาดว่าจะฉีดครบร้อยเปอร์เซนต์ในสัปดาห์นี้ตามเป้าหมาย และจะได้รับวัคซีนมาเพิ่มเป็นระยะ ฉีดให้ครบ 63 ล้านโดส ภายในปี 2564 รวมทั้งได้มีการเจรจาขอซื้อวัคซีนซิโนแวคอีก 5 ล้านโดส ขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายมารับการฉีดวัคซีนตามนัด สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อให้ประเทศปลอดภัย เศรษฐกิจเดินหน้าได้ ทุกคนกลับมายิ้มด้วยกันอีกครั้ง
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโควิด 19 กล่าวว่า สำหรับแผนการกระจายวัคซีนแอสตราเซเนกา เบื้องต้นจะเริ่มจาก 5 จังหวัดที่มีการฉีดให้กับประชาชนแล้ว คือจังหวัดสมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เพื่อนำไปฉีดให้กับผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีทุกกลุ่ม ทั้งประชาชน ผู้มีโรคประจำตัว บุคลากรทางการแพทย์ และอสม. โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณา และจะขยายไปจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีรายชื่อผู้ที่รับการรักษาในโรงพยาบาล และจากการสำรวจโดย อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถตรวจสอบรายชื่อเพื่อนัดหมายรับการฉีดจาก Line Official Account หมอพร้อม หากไม่พบรายชื่อ ในช่วงนี้ ให้แจ้ งอสม. หรือสอบถามจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งวัคซีนจะทยอยส่งให้โรงพยาบาลเป็นล็อต ๆ ตลอดปีนี้