กสศ. เปิดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ชี้ นักเรียนยากจนพิเศษเพิ่ม รายได้ครัวเรือนน้อยกว่า 1,094 บาท/เดือน กว่า 4 หมื่นคน ไม่ได้กลับมาเรียนต่อ ขณะที่ธนาคารโลก คาดการณ์ หากปิดโรงเรียนถึงสิ้นปีนี้ เด็กไทยความรู้ถดถอย 1.27 ปี สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 30% ของจีดีพี
เมื่อวันที่ 3 ก.ย.64 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับองค์กรเครือข่าย เปิดเวทีเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “สำรวจสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในวิกฤตโควิด-19 การศึกษาไทยเดินหน้าอย่างไร ไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการเรียนรู้”
ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า จากข้อมูลล่าสุดปีการศึกษา 1/2564 พบนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษรวมประมาณ 1.9 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อเทียบกับเด็กทั้งหมดในช่วงวัยเรียนการศึกษาภาคบังคับที่มีประมาณ 9 ล้านคน โดยเฉพาะนักเรียนยากจนพิเศษที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,302,968 คน จากภาคเรียนที่ 2/2563 ที่มีอยู่ 1,174,444 คน ซึ่งคาดการณ์ว่าจำนวนที่เพิ่มขึ้น 128,524 คน มาจากความยากจนฉับพลันในสถานการณ์โควิด-19 โดยรายได้ของครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือเฉลี่ยเดือนละ 1,094 บาท มีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา 6,500 คน
“เป็นความสุ่มเสี่ยงที่เด็กยากจนพิเศษจะหลุดจากระบบการศึกษา ที่ผ่านมา กสศ. ได้เข้าไปช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนยากจนพิเศษในช่วงชั้นรอยต่อกลับเข้าเรียนได้ โดยจากการติดตามล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2564 พบว่านักเรียนยากจนพิเศษช่วงชั้นรอยต่อ 294,454 คน ยังอยู่ในระบบการศึกษา 242,081 คน คิดเป็นร้อยละ 82.82% แต่ยังมีเด็ก 43,060 คน หรือ 14.6% ยังไม่พบข้อมูลว่าได้กลับเข้ามาเรียนต่อ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ม.3 จำนวน 33,710 คน และ ป.6 จำนวน 8,699 คน เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ติดตามเด็กกลุ่มนี้ไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษา ทำให้เขาได้รับโอกาสและสิทธิประโยชน์”
รองผู้จัดการ กสศ. ระบุว่า กสศ. ได้สำรวจนักเรียนยากจนพิเศษในพื้นที่ 29 จังหวัดที่ประสบปัญหาการเรียนช่วงโควิด-19 เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าและอุปกรณ์ พบว่ามีนักเรียนที่ประสบปัญหาถึง 87.94% หรือ 271,888 คน โดยจังหวัดที่พบปัญหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ตาก นครราชสีมา และยะลา การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อเด็กในเรื่องสุขภาพที่พบตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากต้นเดือนสิงหาคม 2564 มีเด็กติดเชื้อ 65,086 คน ขยับขึ้นเป็น 138,329 คนในต้นเดือนกันยายน และมีเด็ก 366 คน สูญเสียพ่อแม่จากโควิด-19
“เด็กกลุ่มนี้ควรได้รับการดูแลระยะยาวลักษณะเดียวกับความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ หรือสึนามิ ที่ให้ความช่วยเหลือเด็กที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ผู้ปกครองจากเหตุการณ์ให้ได้รับการศึกษาจนจบปริญญาตรี เพราะไม่มีใครมาช่วยดูแลพวกเขา รวมทั้งยังมีประเด็นเรื่องผลกระทบระยะยาว หรือ Long Coivd ที่เด็กได้รับผลกระทบทางสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ควรได้รับการติดตามเป็นระยะ ตั้งแต่ 6 เดือนไปถึง 3 ปี โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้สูญเสียการพัฒนาทุนมนุษย์ ในวันที่เด็กเกิดน้อยลง มีเด็กจำนวนมากที่กำลังเสี่ยงจะหลุดจากระบบการศึกษา และยังเผชิญกับเรื่องความรู้ถดถอย หลังจากโควิดเราหวังว่าจะนำไปสู่ Build back equity นำความเสมอภาคกลับมา นำข้อมูลที่มีอยู่มาแปลงเป็นความร่วมมือ”
ด้าน ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มงานการศึกษา ประจำธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย กล่าวว่า ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงเรียนราว 369 ล้านคน จากจำนวนประชากรเด็ก 375 ล้านคนทั่วโลก
หลายประเทศได้นำวิธีการต่าง ๆ มาใช้ เพื่อลดความสูญเสียทางการศึกษาให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ด้วยการจัดการศึกษาผ่านระบบออนไลน์ โทรทัศน์ ผสมผสานกับสื่อการเรียนรู้หลายรูปแบบ เช่น สั่งงานหรือการบ้าน ที่จะครอบคลุมถึงเด็กทุกกลุ่มไม่ให้หลุดจากการเรียนรู้ 100% อย่างไรก็ตาม การเรียนทางไกลกลับทำให้ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายิ่งชัดเจนขึ้น
“ประเทศที่ถือว่าจัดการศึกษาออนไลน์ในระดับที่ประสบความสำเร็จ เช่น ประเทศจีน ผลสำรวจชี้ว่าถึงแม้ครูกว่า70% ยืนยันว่าเครื่องมือและระบบที่พร้อมและมีความเสถียรช่วยให้การจัดการศึกษาเข้าถึงนักเรียนได้ แต่อีก 40% ระบุว่าการเรียนผ่านระบบออนไลน์ทำให้เกิดปัญหาในการโต้ตอบกับนักเรียน รวมถึงอีกมากกว่า 50% ไม่สามารถจัดระเบียบควบคุมชั้นเรียนได้”
นักเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรมนุษย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก PISA ระบุว่า ก่อนวิกฤตโควิด-19 มีเด็กนักเรียนในกลุ่มยากจนด้อยโอกาสเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเพียง 20% ขณะที่กลุ่มเด็กจากครอบครัวที่พร้อมสามารถเข้าถึงได้ 90% ดังนั้นจึงคาดการณ์ได้ว่าหากสถานการณ์การเรียนทางไกลเพื่อรับมือโรคระบาดยังยืดเยื้อต่อไป จะยิ่งส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา เกิดช่องว่างเพิ่มขึ้นในเด็กที่มาจากครอบครัวต่างกัน
ผลการศึกษาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า การจัดการศึกษาทางไกลทำให้ความรู้ของเด็กนักเรียนสูญหายไปราว 50% หรือเท่ากับเวลาประมาณครึ่งปี และหากสถานการณ์ยังต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี 2564 อัตราการสูญหายทางการเรียนรู้ของเด็กจะยิ่งเพิ่มขึ้นไปเท่ากับช่วงเวลา 1 ปี การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนไปถึงผลที่จะเกิดกับเศรษฐกิจในอนาคตว่า จะมีมูลค่าความสูญเสียมากกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะที่ประเทศไทย ถ้าสถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้นปี 2564 อัตราการสูญเสียการเรียนรู้จะอยู่ที่ประมาณ 1.27 ปี คิดความเสียหายเป็นมูลค่าประมาณ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับ 30% ของ GDP ซึ่งในอนาคตเด็กกลุ่มนี้จะทยอยเข้าสู่ตลาดแรงงาน ความรู้ที่สูญเสียไปหมายถึงคุณภาพของตลาดแรงงานที่ด้อยลง และเด็กกลุ่มนี้จะต้องอยู่ในตลาดแรงงานจนถึงปี 2624 หรือ 60 ปีนับจากนี้ และทุนมนุษย์ที่สูญเสียไปในช่วงนี้ จะลดทอนศักยภาพอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโดยตรง ทั้งการสะสมทุน ผลผลิตของประเทศ รวมไปถึงการลดลงของพัฒนาการในทุกด้าน
“ปัญหาการศึกษาไทยมีมาก่อนวิกฤตโควิด-19 ตัวเลขจาก OECD ระบุว่า เด็กนักเรียนไทยกว่า 60% มีทักษะทางวิชาการต่ำกว่ามาตรฐานการเรียนรู้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม OECD ด้วยกัน โดยปัญหาหลักที่พบคือ การขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษา โดยเฉพาะบุคลากรครูที่ไม่เพียงพอในโรงเรียนทุกระดับนอกจากนี้ยังมีเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในโรงเรียน เช่น อุปกรณ์การเรียนการสอน หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเอื้อต่อการจัดการศึกษาในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ กลุ่มงานการศึกษา ประจำธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย มีแผนการทำงานร่วมกับ กสศ. และ สพฐ. ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้วยโครงการ Fundamental School Standard ซึ่งทำสำเร็จมาแล้วในประเทศต้นแบบ โดยจะทำการเก็บข้อมูลเบื้องต้น ทั้งการบริหารจัดการ ความเพียงพอของโครงสร้างพื้นฐานเริ่มจากโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลจนถึงโรงเรียนในเมืองทั่วประเทศ แล้วนำมาออกแบบนิยามมาตรฐานโรงเรียนที่มีคุณภาพ เพื่อให้ สพฐ. มีแนวทางในการแก้ปัญหาของแต่ละโรงเรียนให้ถูกจุด เพิ่มเติมในส่วนที่ขาด และยกระดับมาตรฐานทุกโรงเรียนให้ทัดเทียมกัน ทำให้ในอนาคตไม่ว่าเด็กจะอยู่ในพื้นที่ใด ก็จะสามารถเข้าถึงโรงเรียนที่มีคุณภาพได้
• อ่านเพิ่ม – การศึกษาราคาไม่ถูก เมื่อต้นทุนชีวิตเราไม่เท่ากัน