องค์กรสิทธิฯ ออกจดหมายเปิดผนึก ถึง ‘พล.อ. ประยุทธ์’ ขอให้นำผู้กระทำผิดค้ามนุษย์โรฮิงญาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และขจัดขบวนการค้ามนุษย์ ห่วง ถูกลดระดับกลุ่มประเทศในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ จาก Tier 2 เป็น Tier 3
จากกรณี รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หยิบยกกรณีปัญหาการค้ามนุษย์โรฮิงญาในพื้นที่ สภ.ปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา และการลักลอบขนคนผิดกฎหมายข้ามชายแดนระหว่างเมียนมา-ไทย ที่ทำให้ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวนมากต้องประสบชะตากรรม และทำให้ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีในขณะนั้นต้องลี้ภัยในต่างประเทศ ในการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น
วันนี้ (22 ก.พ. 2565) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ร่วมกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน คือ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และ มูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า ออกจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้นำผู้กระทำผิดค้ามนุษย์โรฮิงญาที่ยังลอยนวลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและขจัดการค้ามนุษย์โรฮิงญาที่ยังเติบโตอยู่ในปัจจุบัน
สาระสำคัญในจดหมายฉบับดังกล่าว ระบุว่า หากรัฐบาลไทยยังไม่มีมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามจับกุมผู้ค้ามนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดกับผู้ลี้ภัยโรฮิงญา ชาวเมียนมา ชาวประมงหญิงและเด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือยังไม่กำจัดกลุ่มอิทธิพลและอาชญากรในเครื่องแบบ ธุรกิจการค้ามนุษย์ก็จะยังคงมีอยู่ และขยายตัวเติบใหญ่ต่อไป ซึ่งจะเป็นผลให้ประเทศไทยถูกปรับจาก Tier 2 Watch List มาเป็น Tier 3 ตามกฎหมายสหรัฐว่าด้วยการปกป้องเหยื่อการค้ามนุษย์ ที่ใช้จัดระดับกับทุกประเทศทั่วโลก เพราะไม่เห็นความพยายามในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อภาพพจน์ของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งหมด
โดยย้ำว่ารัฐบาลต้องมีมาตรการป้องกันปัญหา ปราบปรามผู้กระทำผิดทุกระดับอย่างจริงจัง แสดงให้เห็นความพยายามในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อไม่ให้ถูกปรับสถานะจาก Tier 2 Watch List มาเป็น Tier 3 ในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม ที่จะถึงนี้
สำหรับข้อเสนอที่องค์กรต่าง ๆ มีต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล คือ
- ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ใช้อำนาจหน้าที่สานต่อการดำเนินคดีการค้ามนุษย์ดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดสงขลาที่สะดุดหยุดลงไปเมื่อปี 2558 และติดตามเส้นทางการค้ามนุษย์ในภาคใต้กับภาคตะวันตกทุกจังหวัด เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษอย่างถอนรากถอนโคน
- ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงกระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมมาธิการของรัฐสภาที่เกี่ยวข้อง เรียกเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ปากคำ ข้อมูลข้อเท็จจริงเชิงลึก ถึงสาเหตุที่ทำให้การค้ามนุษย์ และการลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่องมาได้เป็นเวลากว่า 10 ปี ใครอยู่เบื้องหลัง ขบวนการที่ไปขนชาวโรฮิงญาและขบวนการลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
- ให้มีกลไก หรือมาตรการการทำงานที่สามารถตรวจสอบถ่วงดุล การทำงานของตำรวจ ทหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ชายแดนและจุดเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ เลิกล้มระบบอุปถัมภ์ ความคิด ค่านิยม ความสัมพันธ์นับถือส่วนตัว ที่มักเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้สามารถปฏิบัติการณ์ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้อย่างเต็มที่
- การค้ามนุษย์เป็นการละเมิดกฎหมาย และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยระบุไว้ชัดเจนในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ข้อที่ 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 กล่าวคือรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐควรตระหนักว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ โดยไม่ตกเป็นทาสหรือการค้าทาส ไม่ถูกทรมาน ต้องได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายไม่ถูกคุมขังหรือเนรเทศตามอำเภอใจซึ่งบุคลากรของภาครัฐและหน่วยงานรัฐต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือร่วมรับผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์เสียเอง
- เร่งให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยเร่งด่วนให้มีความโปร่งใส เพื่อให้พนักงานตำรวจ ทหาร อัยการ ศาล นิติวิทยาศาสตร์ และฝ่ายปกครองมีความมั่นใจในการทำคดีค้ามนุษย์ เก็บรวบรวมพยานหลักฐานไว้ที่ทุกหน่วยงานและให้มีการคุ้มครองความปลอดภัยผู้ปฏิบัติงานทุกคน จากการถูกข่มขู่ คุกคามโดยผู้มีอิทธิพล เป็นเหตุให้อยู่ในประเทศไม่ได้ หรือถูกกลั่นแกล้งในหน้าที่การงาน ถูกโยกย้ายออกนอกพื้นที่โดยไม่มีเหตุผลทั้งที่บางคนปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต