ปมการเมือง-ภัยธรรมชาติ ผลักผู้ลี้ภัยเมียนมา เข้าไทยเพิ่ม

ท่ามกลางช่องว่างกฎหมายและนโยบาย ผลวิจัยชี้หลังรัฐประหารเมียนมาปี 64 มีผู้ลี้ภัยเมียนมาเดินทางเข้าไทยกว่า 1.3 ล้านคน เหตุจากปัญหาการเมืองและภัยธรรมชาติในประเทศ นักวิชาการ ระบุหากไทยจัดการไม่ดีอาจส่งผลให้ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ 

โครงการศึกษาผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานเมียนมาในประเทศไทย เปิดผลการศึกษาผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานจากเมียนมาในประเทศไทยหลังรัฐประหารปี พ.ศ. 2564 โดยเสนอข้อมูล การหลั่งไหลของชาวเมียนมา เข้าสู่ประเทศไทย สถานการณ์และการประเมินแนวโน้มจำนวนประชากรเมียนมาในประเทศไทย ทัศนคติสาธารณะและบทบาทของข้อมูล ข้อเท็จจริง และคุโณปการด้านเศรษฐกิจของผู้ย้ายถิ่นจากเมียนมา เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุม และยั่งยืนในประเทศไทย

โดยผลการศึกษาชี้ว่ามีประชาชนที่ได้รับผลกระทบในประเทศเมียนมามากถึง 20 ล้านคน มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ 3.5 ล้านคน และมีคนที่ต้องการออกนอกประเทศจากปัจจัยเรื่องของการบังคับเกณฑ์ทหารและภัยธรรมชาติ

ข้อมูลจาก องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน หรือ IOM  ระบุว่าในปี 2566 มีชาวเมียนมาข้ามพรหมแดนเข้ามาไทยอย่างน้อย 1.3 ล้านคน ซึ่งจำนวนนี้ไม่ได้นับรวมคนที่ข้ามพรมแดนโดยช่องทางธรรมชาติและในช่วงแรกของปี 2567 จำนวน 649,000 คน  โดนเฉพาะในช่วง มีนาคม- เมษายน ที่มีการบังคับเกณฑ์หทาร ยอดผู้อพยพเพิ่มขึ้น 330,000 คน  ซึ่งนอกจากเรื่องของการบังคับเกณฑ์หทาร  ยังพบว่าภัยธรรมชาติก็ส่งผลต่อการโยกย้ายถิ่นฐานด้วย  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของแรงงานเมียนมาในไทยซึ่งผู้ที่อพยพมีทั้งที่มีเอกสารและไม่มีเอกสาร และในอนาคตก็มีแนวโน้มว่าจะมีผู้ลี้ภัยและผู้อพยพเพิ่มขึ้น 

แม้ว่าจำนวนประชากรเมียนมาในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ยังพบปัญหาที่ว่าการจัดเก็บข้อมูลของชาวต่างชาติในประเทศไทยยังขาดการบูรณาการทำให้ไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่ชัดได้ 

อีกหนึ่งความน่าสนใจในงานวิจัยนี้คือทัศนคติสาธารณะและบทบาทของข้อมูล ข้อเท็จจริง งานวิจัยยังพบว่า คนไทยมองว่าแรงงานเมียนมาคือกลุ่มคนที่เข้ามาสนับนับสนุนเรื่องของเศรษฐกิจซึ่งเป็นมิติที่ดี แต่กลับมองแง่ลบในมิติเรื่องของการรับบริการสาธารณะ อาทิ เรื่องการศึกษา การรักษาพยาบาล เป็นต้น 

ขณะที่ ผศ.ลลิตา หาญวงษ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ระบุว่า ข้อค้นพบจากการวิจัยที่เป็นอุปสรรค คือเรื่องของกฎหมายที่ยังมีความลักลั่น มีความซ้ำซ้อนและไม่ได้เอื้อ ให้แรงงานที่อพยพจากเมียนมามีสถานะที่ชัดเจน และเมื่อแรงงานไม่ได้มีสถานะและถูกต้องตามกฎหมายทุกคน คนเหล่านั้นจะอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่ จะเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ 

ประเด็นถัดมาคือปัญหาเรื่องแรงงานเมียนมา ไม่ได้เป็นปัญหาเพียงแค่ของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น แต่ยังคงเป็นคำถาม ในเรื่องของความมั่นคงทุกระดับ  อีกทั้งยังกล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะอยู่รอดได้โดยไม่มีแรงงานข้ามชาติ   

ผศ.ลลิตา หาญวงษ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เล่าถึง ประสบการณ์ในการทำงานเกี่ยวเนื่องกับผู้อพยพว่า สถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนเมียนมา มีผลกระทบมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะผลกระทบทางการทหารเป็นหลัก ต่อมาขยายไปสู่เรื่องของยาเสพติด เรื่องของสแกมเซ็นเตอร์ เรื่องการค้ามนุษย์ 

“ความมั่นคงของชาติคือความมั่นคงของมนุษย์ เพราะมนุษย์คือคนที่อยู่ในผืนแผ่นดิน มนุษย์คือคนที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงที่ผ่านมาและหากบริหารเรื่องทรัพยากรความมั่นคงของมนุษย์ได้ไม่ดีก็จะนำไปสู่ปัญหาอื่นถ้าเรามองว่าการโยกย้ายถิ่นฐานเป็นเพียงแค่ปัญหาเราอาจจะพลาดโอกาส ในการใช้ทรัพยากรบางส่วนมาสู่การเป็นพลังของการขับเคลื่อน”

พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

พลเอก ทรงวิทย์ กล่าวว่า บทเรียนจากหลายประเทศชี้ชัดว่า กองทัพหรือองค์กรของรัฐขาดคนที่จะลงไปหาข้อมูลให้ ซึ่งข้อมูลกับการสั่งการผู้บังคับบัญชามันคนละส่วนกัน ไม่เชื่อว่ากองทัพมีศักยภาพพอที่จะรู้จริงว่าควรจะจัดการปัญหาอย่างไร 

ฉะนั้น การลงพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลการทำวิจัยควรจะขึ้นกับทุกหน่วยงาน เพื่อที่จะนำมาสู่การออกแบบนโยบาย แน่นอนว่าสุดท้ายจะต้องตัดสินใจแต่หากการตัดสินใจ เป็นกฎและข้อตกลงของทหาร หรือทางราชการ อย่างเดียวมันไม่พอเพราะปัจจัยของมนุษย์แทรกอยู่ในทุกบรรทัดของกฎหมาย 

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาไทยไม่ได้มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะมีกฎการปะทะ คำสั่งหรือแนวทางที่กำหนดเงื่อนไขกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร และมีการการเรียกร้อง ไปสู่องค์กรสภาความมั่นคงแห่งชาติหลายครั้ง 

ทั้งนี้มีข้อเสนอ 5 ด้านจากผลการสำรวจ

ด้านความมั่นคงของชาติ
ปรับนโยบายการสื่อสาร,เสริมความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน และเสริมบทบาทชุมชน

ด้านสิทธิมนุษยชน
กำหนดมาตรฐานการช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชน,เน้นการสื่อสารเหตุผลของการอพยพ และป้องกันการตีความเชิงลบจากสื่อ

ด้านการจัดสรรทรัพยากร
บริหารการจัดการทรัพยากรอย่างโปร่งใส, กำหนดมาตราการสื่อสารเฉพาะกลุ่ม, รวมถึงใช้กฎหมายและค่าธรรมเนียมเป็นเชิงบวก

ด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลและสุขภาพ
เน้นมาตรการและสาธารณสุขที่เข้มแข็ง, ลดการเหมารวมแรงงานเป็นภัย และส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์โดยตรงในชุมชน


และด้านเศรษฐกิจ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคธุรกิจ

ขณะที่ ผศ.ภาณุภัทร จิตเที่ยง ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) กล่าวว่า ความสำคัญของงานวิจัยไม่ได้ทำให้เห็นเพียงกรอบเรื่องของความมั่นคงของชาติอย่างเดียวแต่ขยายไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ โดยสะท้อนผ่านภาพของการโยกย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้แล้วยังพบความท้าทาย 6 ประเด็น จากงานวิจัย 

1. ช่องว่างด้านกฎหมาย
ผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งถูกจับกุมเนื่องจากสถานะทางกฎหมายไม่ชัดเจน สิ่งนี้กระทบต่อคุณภาพชีวิตและวิถีความเป็นอยู่โดยตรง

2. การบริหารจัดการกับการอภิบาล
การมองเพียง “การบริหารจัดการ” มักหมายถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่หากใช้กรอบ “การอภิบาล” จะช่วยให้เราเห็นระบบนิเวศของการย้ายถิ่นฐานที่ครอบคลุมมากกว่า พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับนโยบายด้านประชากรและการวางระบบในภาพใหญ่

3. ความท้าทายเชิงสถาบันและการประสานงาน
หากยังทำงานแบบแยกส่วนตามหน้าที่ของแต่ละกระทรวง เช่น มหาดไทย กลาโหม การต่างประเทศ หรือการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะทำให้การแก้ปัญหาขาดความเป็นองค์รวม ความท้าทายนี้จึงอยู่ที่การบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้าด้วยกัน

4. การเมืองและการทูต
ผู้ลี้ภัยเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในระดับภูมิภาค ไทยมีพรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้านที่ยังเผชิญความไม่สงบภายใน จึงต้องเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจต้องดำเนินต่อเนื่องยาวนาน อีกทั้งยังสะท้อนถึงโจทย์ใหญ่ของอาเซียนว่าจะสามารถก้าวข้ามแนวคิด “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” ไปสู่ “ไม่ละเลย” ได้หรือไม่

5. มิติด้านมนุษยธรรมและสังคม
สถานการณ์การพลัดถิ่นที่ยืดเยื้อก่อให้เกิดปัญหาหลากหลาย เช่น ความตึงเครียดทางสังคม การเหยียดหรือหวาดกลัวชาวต่างชาติ รวมถึงปัญหาสุขภาพ หากเด็กไม่ได้รับวัคซีนครบ โรคระบาดอาจกลับมาอีกครั้ง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาต้องมองในระยะยาวและเชิงระบบ ไม่ใช่เพียงเฉพาะหน้า

6. แรงกดดันใหม่
การย้ายถิ่นเกี่ยวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ายาเสพติด หรือการแสวงหาประโยชน์ในเครือข่ายสแกม หากระบบกฎหมายอ่อนแอและเกิดการทุจริต ย่อมผลักให้ผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งเข้าสู่วงจรเหล่านี้ นอกจากนี้ ปัจจัยใหม่อย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ก็เป็นตัวผลักดันการโยกย้ายถิ่นฐานเช่นกัน ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากกว่าเดิม

ผศ.ภาณุภัทร จิตเที่ยง ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR)

อีกมิติหนึ่งคือความแตกต่างระหว่างรุ่นของผู้อพยพ

รุ่นที่ 1 มุ่งเอาชีวิตรอด แต่ยังผูกพันกับบ้านเกิด มองไทยเป็นที่พักพิงชั่วคราว

รุ่นที่ 2 เติบโตในไทยหรือตามค่ายผู้ลี้ภัย มักเผชิญความสับสนด้านอัตลักษณ์

รุ่นที่ 3 แทบไม่รู้จักถิ่นฐานเดิม มีความคิดและวิถีชีวิตแบบคนไทย

คำถามที่ ผศ.ภาณุภัทร ชวนคิดต่อคือ ไทยพร้อมที่จะรับกับโจทย์และความแตกต่างระหว่างรุ่นเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงโจทย์และความท้าทายในอนาคต 

1.เราจะทำอย่างไรให้การลี้ภัยกลายเป็นความเข้มแข็งของสังคมไทยและกลายเป็นความเข้มแข็งของทั้งผู้ลี้ภัยเอง หนึ่งสิ่งที่อาจจะต้องมีคือ กรมกิจการคนเข้าเมือง การบริหารงานคนเข้าเมืองอย่างเป็นระบบ ซึ่งอาจจะอยู่ภายใต้สำนักงานของสำนักงานนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะพัฒนาระบบข้อมูลกลางขึ้นมา โจทย์ตรงนี้จะทำอย่างไรให้หน่วยงานมีบทบาทที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขต

2.กฎหมายที่เกี่ยวข้องนอกกรอบการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่จริงเรามีกรอบกฎหมายหลายอย่างเป็นไปได้หรือไม่ที่จะบูรณาการในกรอบกฎหมายที่มี 

3. สิทธิการเกิดและบริการพื้นฐานโจทย์นี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ในระยะยาว เราจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้สามารถที่จะอยู่รอดได้

4.รุ่นที่แตกต่างกันของผู้โยกย้าย เราจะออกแบบเส้นทางของคนที่ต่างรุ่นแบบนี้อย่างไรในการที่จะอยู่ในสังคมไทยต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะสร้างความขัดแย้งของกลุ่มที่แตกต่างกัน ไทยจะมีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร 

5. การสร้างความเข้มแข็งท้ายที่สุดแล้วปัญหาต้นทางยังเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เรื่องของผู้ลี้ภัยเป็นการจัดการที่ปลายทางแต่อย่างไรก็ตามถ้าสถานการณ์ต้นทางไม่สงบ เมื่อนั้นสถานการณ์เรื่องการย้ายถิ่นฐานก็ยังคงมีต่อไป 

ฉะนั้นเราจะทำอย่างไรที่จะใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนในการที่จะไปให้ไกลจนถึงจุดการบริหารจัดการที่ต้นทางเพื่อปราบปรามเรื่องของอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติดหรือสภาพภูมิอากาศที่มันเปลี่ยนแปลงตรงนี้จะเป็นเรื่องของการแบ่งเบาภาระร่วมกันระหว่างประเทศ

ข้อสุดท้ายคือ การจัดการทัศนคติสาธารณะ บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและประสบการณ์และเรื่องของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมจะสร้างให้เกิดความคุ้นชินและสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดประสบการณ์และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ 

ผศ.ภาณุภัทร มองว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านมนุษยธรรมที่สะสมมาอย่างยาวนาน และนี่คือ ซอฟต์พาวเวอร์ที่แท้จริง โดยกกรณีตัวอย่างว่า เมื่อผู้ลี้ภัยกลับสู่ถิ่นฐาน พวกเขาไม่ได้พกกลับไปเพียงรายได้ แต่ยังนำวัฒนธรรมไทย สินค้า และค่านิยมไปด้วย สิ่งนี้คือพลังทางสังคมที่เราควรใช้ประโยชน์

ดังที่นักเขียนผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียเคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีใครอยากทิ้งบ้าน ถ้าบ้านนั้นไม่ได้กลายเป็นปากฉลาม”

ผู้คนอยากมีชีวิตสงบสุขที่บ้านเกิด แต่เมื่อไม่อาจอยู่ได้ พวกเขาจำเป็นต้องหนี ดังนั้น ปัจจัยผลัก คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจและแก้ไข ไม่ใช่มองแค่ปัจจัยดึงดูด เพียงด้านเดียว

“ฉะนั้นแรงดึงดูดเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่สำคัญที่สุดคือปัจจัยผลักที่มันทำให้คนต้องออกมาฉะนั้นถ้าเราจะพิจารณาจากปัจจัยดึงดูดอย่างเดียวคงไม่พอ แต่เราต้องมองว่าปัจจัยผลักคืออะไร และก็ต้องไปแก้ปัญหาที่ปัจจัยผลักตรงนั้น”

อยางไรก็ดี  ผศ.ภาณุภัทร กล่าวว่า เรื่องความมั่นคงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง  แต่เป็นความมั่นคงร่วมกันและกรณีผู้ลี้ภัยอาจเป็นประเด็นสำคัญที่จะทำให้ ความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของมนุษย์เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active