‘เฉลิมชัย’ มอบ ทช. – อส. ตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์พะยูน เสนอของบกลาง 615 ล้าน ลุยอนุรักษ์พะยูน และแหล่งหญ้าทะเล
วันนี้ (7 ธ.ค. 67) เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์หญ้าทะเลเสื่อมโทรมในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเลที่สำคัญ และเป็นแหล่งอาศัยหลักของพะยูนในประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดตรัง ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของพะยูน ส่งผลกระทบทำให้พะยูนเกิดภาวะขาดแคลนอาหารและต้องอพยพไปยังพื้นที่ใหม่ กระทรวงฯ จึงดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้กำหนด 4 มาตรการ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติพะยูนเกยตื้น และหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ประกอบด้วย
- เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการสำรวจประชากรพะยูนด้วยอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึง (Fixed-wings Unmanned Aerial Vehicle: Fixed-wings UAV) และแบบสำรวจการพบเห็นพะยูนให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ทราบจำนวน พื้นที่การแพร่กระจายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสำรวจสุขภาพของพะยูนแต่ละตัวว่ามีความสมบูรณ์ หรือมีอาการป่วย เพื่อหามาตรการช่วยเหลือไม่ให้พะยูนตายจากการขาดอาหาร
- หาแนวทางประกาศพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้มาตรการ ซึ่งจะเป็นการป้องกันอันตราย จากการประกอบกิจกรรมในทะเล ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพะยูนที่เข้ามาอาศัย จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกประกาศพื้นที่คุ้มครองพะยูนชั่วคราว ซึ่งคาดว่าจะประกาศ 3 จุด ประกอบด้วย หน้าหาดราไวย์ อ่าวบางโรง และอ่าวบางขวัญ ซึ่งเป็นจุดที่พบพะยูนจำนวนมาก โดยจะต้องมีการหารือในรายละเอียดกับภาคส่วนต่าง ๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะมีการประกาศออกไป
- ค้นหาและช่วยเหลือพะยูนที่ยังมีชีวิตและอ่อนแอ โดยเร่งฟื้นฟูแหล่งอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พะยูนอพยพย้ายถิ่น ตลอดจนกำหนดแผนงานในระยะเร่งด่วนที่จะเพิ่มอาหารให้กับพะยูนในธรรมชาติ และดูแลพะยูนที่ผอมเป็นพิเศษโดยการเสริมอาหารทดแทนหญ้าทะเลในธรรมชาติในพื้นที่ จ.ตรัง และ จ.ภูเก็ต รวมถึงศึกษาแนวทางการกั้นคอกเพื่อดูแลพะยูนที่มีสภาพร่างกายอ่อนแอในธรรมชาติ พร้อมทั้งพัฒนาและเตรียมความพร้อมของศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรัง และศูนย์ช่วยชีวิตสิรีธาร จ.ภูเก็ต
- เตรียมบ่อกุ้งร้างหรือสถานที่เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หญ้าทะเลร่วมกับภาคเอกชนและชุมชน พร้อมทั้งเร่งศึกษานวัตกรรมการฟื้นฟูหญ้าทะเลในธรรมชาติ
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการร่วมพิทักษ์พะยูน ทส. นอกจากนั้นยังเสนอของบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นจำนวนเงิน 615,163,000 บาท เพื่อใช้ในการดำเนินงานกิจกรรมอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเล
โดยในวันนี้ได้ลงพื้นที่มายังโรงเรียนบ้านบาตูปูเต๊ะ (เกาะลิบง) อ.กันตัง จ.ตรัง พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบปะพี่น้องชาวเกาะลิบง และเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง ในพื้นที่ จ.ตรัง รวมทั้งรับฟังรายงานสถานภาพสัตว์ทะเลหายากในภาพรวมของประเทศ และในพื้นที่ จ.ตรัง ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติงานในการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลและพะยูนด้วย
เดินหน้าแก้วิกฤตพะยูนเกยตื่น ฟื้นฟูหญ้าทะเล
ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยภาพรวมการดำเนินงานแก้ไขปัญหาวิกฤติพะยูนเกยตื้นและแหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ว่า เบื้องต้นได้ดำเนินการช่วยเหลือพะยูนที่ยังมีชีวิต ด้วยวิธีการใช้อาหารเสริมแทนหญ้าทะเล โดยมีการดำเนินงานในพื้นที่สะพานราไวย์ ต.ราไวย์, อ่าวตังเข็น ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต, ด้านหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เกาะลิบง จ.ตรัง, อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง และพื้นที่บางขวัญ จ.พังงา พร้อมกันนี้ จัดเตรียมคอกอนุบาลในทะเล สำหรับดูแลพะยูนที่ป่วยและไม่แข็งแรง ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการในพื้นที่บริเวณเกาะละวะ ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา รวมทั้งบ่อเลี้ยงของศูนย์ช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากสิรีธาร จ.ภูเก็ต
นอกจากนี้ ได้เร่งฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล ในพื้นที่ จ.พังงา บริเวณ เกาะหมากน้อย ต.เกาะปันหยี อ.เมืองพังงา พื้นที่ 15 ไร่ อีกทั้งพื้นที่ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ บ้านบางพัฒน์ อ่าวพังงา ต.บางเตย อ.เมืองพังงา พื้นที่ 12 ไร่ และพื้นที่บ้านปากคลอง ต.บ่อหิน อ.สิเกา จ.ตรัง พื้นที่ 4 ไร่ โดยดำเนินการประเมินพื้นที่ที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูหญ้าทะเลและเก็บตัวอย่างดินตะกอน เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ก่อนการย้ายปลูกหญ้าทะเล ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดหาแหล่งพันธุ์หญ้าทะเล และมีแผนดำเนินการย้ายปลูกหญ้าทะเลในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 สำหรับการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการจัดการปัญหามลพิษและควบคุมการใช้พื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน หากมองเห็นความสำคัญของทรัพยากรทางทะเล และยังมีการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง เราอาจยังมีโอกาสเห็นพะยูนอยู่ในน่านน้ำไทย และคงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศแห่งนี้ต่อไป
เผยข้อมูลสำรวจ ‘พะยูน’
ขณะที่ อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บอกว่า ได้สำรวจประชากรพะยูนด้วยอากาศยานไร้คนขับชนิดปีกตรึง (Fixed-wings Unmanned Aerial Vehicle: Fixed-wings UAV) ผลจากการสำรวจเบื้องต้น
จ.พังงา
- บริเวณอ่าวพังงา เกาะยาวใหญ่ พบพะยูน 3 ตัว
จ.ภูเก็ต
- บริเวณอ่าวปากคลอก พบพะยูน 40 ตัว
- บ้านป่าหล่าย พบพะยูน 2 ตัว
- สะพานสารสิน พบพะยูน 7 ตัว
- อ่าวตังเข็น พบพะยูน 7 ตัว
- อ่าวราไวย์ พบพะยูน 2 ตัว
รวมพบพะยูนทั้งสิ้น 58 ตัว
จ.ตรัง
- บริเวณแหลมจูโหย พบพะยูน 3 ตัว
- ชายหาดบ้านปากคลองกะลาเสใหญ่ พบพะยูน 2 ตัว
รวมพบพะยูนทั้งสิ้น 5 ตัว
อีกทั้งได้สำรวจหญ้าทะเลในพื้นที่ จ.พังงา สำรวจ 4,824 ไร่ พบพื้นที่หญ้าทะเล 1,071 ไร่, จ.ภูเก็ต สำรวจ 3,348 ไร่ พบพื้นที่หญ้าทะเล 1,360 ไร่, จ.กระบี่ สำรวจ 23,302 ไร่ พบพื้นที่หญ้าทะเล 7,670 ไร่, จ.ตรัง สำรวจ 23,038 ไร่ พบพื้นที่หญ้าทะเล 12,380 ไร่ และ จ.สตูล สำรวจ 2,963 ไร่ พบพื้นที่หญ้าทะเล 1,427 ไร่
นอกจากนี้ ได้ประกาศพื้นที่คุ้มครองและบังคับใช้มาตรการ พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล พื้นที่เฝ้าระวังพะยูนและคุ้มครองแหล่งหญ้าทะเล 13 แห่ง พร้อมกันนี้ ภายหลังจากที่มีการหารือร่วมกับจังหวัดภูเก็ตและทุกภาคส่วนเกี่ยวกับการวางแนวทางและกำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับพะยูนในบริเวณที่อยู่อาศัยและหากิน ในการนี้ จังหวัดภูเก็ตได้ออกประกาศขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน เครือข่ายประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ องค์กรภาคเอกชน เครือข่ายจิตอาสาประชาสังคม ร่วมกันดูแล เฝ้าระวัง และป้องกันผลกระทบต่อพะยูนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 พื้นที่ ได้แก่ บริเวณช่องปากพระบ้านสารสิน บริเวณอ่าวป่าคลอก อ่าวบางโรง บริเวณท่าเทียบเรือหาดราไวย์ และบริเวณอ่าวตังเข็น เพื่อร่วมกันป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับพะยูนอีกด้วย