เตือนรับมืออากาศแปรปรวน 23-25 ก.พ.68 ก่อนเข้าฤดูร้อน

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือน 23-25 ก.พ.นี้ ไทยตอนบนเตรียมรับอากาศแปรปรวน ขณะภาคใต้ ฝนตกหนักถึงหนักมาก และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ก่อนเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ 28 ก.พ.นี้ แนะภาคเกษตรไทยระวังผลผลิตเสียหายจากภาวะโลกรวน

เตือนอากาศแปรปรวน 23-25 ก.พ. 2568 ระวังลมแรง ฝนตกหนัก ลูกเห็บตก

วันนี้ (22 ก.พ. 2568 ) กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศ เรื่องอากาศแปรปรวนบริเวณประเทศไทยตอนบน และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้และคลื่นลมแรงอ่าวไทยตอนล่าง ฉบับที่ 5 (36/2568) ว่า ในช่วงวันที่ 23-25 ก.พ. 68 บริเวณภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก จะมีสภาพอากาศแปรปรวน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่า ลมกระโชกแรง มีลูกเห็บตกบางแห่งในบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง

สุกันยาณี  ยะวิญชาญ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ลักษณะอากาศประเทศไทยจะเริ่มมีความแปรปรวนมากขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายฤดูกาล ลมเริ่มเปลี่ยนทิศทาง เช้าอากาศเย็น กลางวันอากาศร้อน ต้องติดตามและเฝ้าระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและเตรียมพร้อมรับมือ โดยในช่วงวันที่ 23-25 กุมภาพันธ์นี้ คาดว่ามวลอากาศเย็นกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงจากจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ทำให้มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุม ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากเมียนมาเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน จึงทำให้เกิดลักษณะอากาศที่แปรปรวนขึ้น โดยจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง ลูกเห็บตก รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง ส่วนภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังค่อนข้างแรง บริเวณทีมีฝนฟ้าคะนองอาจมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ดังนั้น ขอให้ชาวเรือระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568

ภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา และกระบี่

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568

ภาคใต้: จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568

ภาคใต้: จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

ไทยประกาศจะเข้าฤดูร้อน 28 ก.พ. 2568

อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ยังเปิดเผบอีกว่า ปีนี้ประเทศไทย จะประกาศเข้าสู่ฤดูร้อน ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม โดยในช่วงสิ้นเดือนนี้ที่จะเข้าสู่ฤดูร้อน จะเข้าเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยา ที่ปกติจะพิจารณา 2 องค์ประกอบคือ 1.อุณหภูมิสูงสุดบริเวณประเทศไทยตอนบน (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาค ตะวันออก) วัดได้ตั้งแต่ 35.0 องศาเซลเซียสขึ้นไป มีมากกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ 2. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ลมหนาว) ที่พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยตอนบนเปลี่ยนเป็นลมตะวันออกเฉียงใต้ หรือลมฝ่ายใต้พัดปกคลุมแทน

โดยเกณฑ์อากาศร้อนจะใช้อุณหภูมิสูงสุดประจำวัน (อากาศร้อน อุณหภูมิตั้งแต่ 35.0-39.9 องศาเซลเซียส และอากาศร้อนจัด อุณหภูมิตั้งแต่ 40.0 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 35-36 องศาเซลเซียส หากเทียบกับค่าปกติ (35.4 องศาเซลเซียส)

จากสถิติที่กรมอุตุนิยมวิทยารวบรวมตั้งแต่ปี 2494 พบว่าอุณหภูมิไม่สูงเท่าปีที่แล้ว เป็นปีที่มีปรากฏการณ์ลาณีญากำลังอ่อน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดมีโอกาสที่อุณหภูมิจะสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส

จังหวัดอากาศร้อนจัดที่มีโอกาสอุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาเซลเซียส 14 จังหวัด

แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู ขอนแก่น และชัยภูมิ

และช่วงอากาศร้อนจัดอาจเป็นช่วงที่จะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้เป็นระยะ สำหรับปริมาณฝนคาดว่ามากกว่าค่าปกติร้อยละ 10-20 แต่ฝนที่ตกในช่วงฤดูร้อนจะเป็นฝนที่ตกไม่นานและครอบคลุมพื้นที่ไม่กว้าง

สถิติอุณหภูมิสูงสุดของประเทศไทยในฤดูร้อน

ภาคเหนือ : 44.6 องศาเซลเซียส ที่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2559 และ อ.เมืองตาก เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2566

ภาคอีสาน : 44.1 องศาเซลเซียส อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2566 และ 30 เม.ย. 2567

ภาคกลาง : 44.0 องศาเซลเซียส อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2567

ภาคตะวันออก : 42.9 องศาเซลเซียส อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี เมื่อ วันที่ 23 เม.ย. 2559

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) : 42.0 องศาเซลเซียส หนองพลับ จ.ประจวบคีรีขันธุ์ เมื่อ 11 เม.ย.2559

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) : 40.5 องศาเซลเซียส อ.เมืองตรัง จ.ตรัง เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2535

กรุงเทพมหานคร : 41.1 องศาเซลเซียส ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อ วันที่ 30 เม.ย. 2567

เฝ้าระวังผลกระทบจากสภาพอากาศร้อน

เฝ้าระวังพายฤดูร้อน : ในช่วงเดือนมีนาคม ถึงเมษายน มีฝนฟ้าคะนอง ลูกเห็บตก ลมกระโชกแรง

ระวังอัคคีภัยและไฟป่า : ระยะนี้สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเกิดอัคคีภัยและไฟป่าง่าย ระวังการเผาเชื้อเพลิงทั้งกิจกรรมต่างๆ รวมถึงภาคเกษตร

ลมแดด : ในช่วงกลางเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน จะมีอากาศร้อนจัดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคลมแดด หรือ Heat Stroke โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วย ผู้สูงอายุและเด็ก

กักเก็บน้ำ : ฝนที่ตกในฤดูร้อนจะตกไม่นาน อาจเสี่ยงขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภคได้

นักวิชาการเตือนภาวะโลกรวนเพิ่มเป็นสัญญาณเตือนภาคการเกษตรตั้งรับ

รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ เปิดเผย โลกรวนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก หากอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น 2 องศา ในปี 2050 มีการคาดการณ์ผลกระทบต่อ GDP ทั่วโลก จะทำให้ GDP ติดลบ อย่างอเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา อเมริกาใต้ โอเซียเนีย เอเชีย และไทย ติดลบ 19.5 เปอร์เซนต์ ผลกระทบหลักที่จะเห็นต่อจากนี้ ภาคเกษตรจะสูญเสียผลผลิต ภาคการเกษตร เป็นอันดับ 3 จาก 48 ประเทศ

ถ้าดูพืชเกษตร ในช่วง 20-25 ปีข้างหน้าเฉพาะน้ำฝนกับอุณหภูมิจะทำให้ผลผลิตอ้อยลดลงไป 14 เปอร์เซนต์ และสิ้นศตวรรษนี้จะทำให้ผลผลิตข้าวลดลงเกือบ 22 เปอร์เซนต์ มันสำปะหลังจะลดลง 30 เปอร์เซนต์ ถ้าดูภาพรวมผลกระทบต่อราคาที่ดินใน 20 ปีข้างหน้า ราคาที่ดินจะลดลงจาก 2,700 เหรียญต่อไร่ เหลือ 165-635 เหรียญต่อไร่ มากกว่ามูลค่าราคาที่ดินของเกษตรกร

7 วิธีปรับตัว สอดคล้อง เกษตรเท่าทันภูมิอากาศ ที่เกษตรกรทำเองได้ การกระจายผลผลิต ปลูกพืชสวนผสม ลดเสี่ยง ปรับปฎิทินการเพาะปลูก เลือกปลูกในช่วงที่เหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพน้ำ ใช้น้ำหยด ส่งน้ำตามท่อ อุปกรณ์ทำฟาร์ม เพราะอนาคตฝนแล้ง อากาศร้อนขึ้น ฝนทิ้งช่วง ในภาคนโยบาย คือ การปรับปรุงพันธุ์ ให้ผลผลิตทนแล้ง ทนน้ำท่วมอากาศร้อนจัด ต่อมาเป็นการประกันพืชผลด้วยดัชนีอากาศ รัฐบาลอุดหนุนเบี้ยประกัน และคิดเบี้ยตามความเสี่ยง เพราะภัยพิบัติธรรมชาติ และศัตรูพืชจะเพิ่ม แนะส่งเสริมการทำเกษตรบนเขา เปลี่ยนจากพืชไร่มาปลูกไม่ยืนต้น เพราะอากาศแปรปรวน

พร้อมเสนอแนะให้มุ่งพัฒนาสู่การเป็นเกษตรกรมืออาชีพ ช่วยเหลือเกษตกรกลุ่มเปราะบาง คือพัฒนาเกษตรมืออาชีพ อย่างการลงทุนความรู้ ส่งเสริมเกษตรกรรายใหญ่โดยแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรค การพัฒนานวัตกรรม เพิ่มงบฯวิจัยข้าว สร้างแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัยพัฒนานวัตกรรมต้นทุนต่ำใช้ได้จริง ส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกษตรให้ทำงานในอากาศร้อนจัด ส่งเสริม เกษตรกร เอกชพร้อมกับจัดสรรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นพัฒนาแหล่งน้ำ อากาศแม่นยำใช้นวัตกรรม ช่วยเหลือเกษตรกรรายเล็ก เยียวยารวดเร็ว และกำหนดนโยบายสร้างงานนอกภาคเกษตกรครั้งใหญ่ในทุกจังหวัด

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active