สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ ด้านการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ความมั่นคงของมนุษย์ รับฟังความเห็นจากหลายหน่วยงาน พร้อมใช้เครื่องมือข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพอากาศ
28 ก.พ. 2568 – สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดกิจกรรม ประชุมเชิงปฏิบัติการระดับชาติ ด้านนโยบายการรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ณ โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ กรุงเทพฯ ด้วยจุดประสงค์เพื่อต่อยอดแผนร่าง นโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกรอบการดำเนินงานการขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการ ในการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงของมนุษย์

ที่ผ่านมา TEI และ พม.ได้ดำเนินการศึกษาสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางในประเทศไทย รวมถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบ โดยได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายการคุ้มครองทางสังคมที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Responsive Social Protection: CRSP)
ที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และกลุ่มเปราะบางผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อร่วมกันออกแบบมาตรการและนโยบายผ่านกระบวนการห้องปฏิบัติการเชิงนโยบาย (Policy Lab) ซึ่งเป็นการกำหนดเป้าหมาย ออกแบบนโยบาย วิเคราะห์รายละเอียด และนำสาระสำคัญมาจัดทำเป็นร่างนโยบาย ก่อนจะนำร่างดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาคีทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของข้อเสนอเชิงนโยบาย
ข้อเสนอแนะทางมาตรการและนโยบายที่ได้พัฒนาขึ้นเกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเด็นหลักในการปรับตัว (adaptation) จากมุมมองของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่:
- การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป (slow onset events) – เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจน เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นทีละน้อย หรือระดับน้ำทะเลที่ค่อยๆ สูงขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน (extreme weather events) – เช่น ภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ทั้งนี้ กรณีเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (extreme weather events) และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ (slow onset events) ทั้งคู่จะนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มเปราะบางเป็นสำคัญ
ข้อเสนอเชิงนโยบายจากคณะทำงานของสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงได้พัฒนาเป็นนโยบาย 4 ด้าน พร้อมมาตรการ 24 มาตรการ ตอบรับกับแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (Thailand’s National Adaptation Plan : NAP) ซึ่งจะนำเสนอและรับฟังความคิดเห็นต่อไป
ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เผยมิติความน่ากังวลของโลกรวน
วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความเสี่ยงเรื่องสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับต้นๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันอันดับความเสี่ยงของเราจะดีขึ้นแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องให้ความสนใจ”
วิจารย์ ยังเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภัยรูปแบบใหม่ อย่างเช่น ภาวะโรคลมแดด (Heatstroke) ที่เริ่มส่งผลกระทบต่อประชาชนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง

“กระทรวง พม. มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเราพูดถึงกลุ่มเปราะบาง ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ เด็ก สตรี คนยากไร้ และผู้พิการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ 7 กระทรวงเมื่อไม่นานมานี้ ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ก็มีหน้าที่สำคัญในการผลักดันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
จากเรื่องโลกสีเขียวสู่ชีวิตของทุกคน ในมุมของ รมว.พม.
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในปาฐกถาพิเศษ “การรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสู่ความมั่นคงของมนุษย์” ว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง ไม่เว้นแม้แต่กระทรวงวัฒนธรรม มหาดไทย หรือเกษตร
“คนกับสิ่งแวดล้อม เรื่อง climate change มันเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง หวังว่าทุกกระทรวงจะเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศมันกระทบทุกกระทรวง ไม่พ้นแม้แต่วัฒนธรรม มหาดไทย เกษตร มันเกี่ยวกับทุกกระทรวงทั้งนั้น”
วราวุธกล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอยู่ในอันดับที่ 30 ของโลก แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง

“ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศของเราตกมาอยู่อันดับ 30 ปีนี้ ไม่ใช่เพราะเราเก่งอะไร แค่ประเทศอื่นเขาเสี่ยงหนักขึ้น และก็ไม่ได้แปลว่าเรานอนรอ ไม่ต้องทำอะไร แล้วรอให้ประเทศอื่นตาย มันไม่ใช่ครับ” วราวุธ กล่าว
โดยกระทรวง พม.ได้จัดตั้งศูนย์ Disaster Care Center for the Vulnerable (DCCV) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา ศูนย์ DCCV ทั้ง 11 แห่ง ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางกว่า 11,000 คน
“ตามชื่อกระทรวง human security พูดถึงความมั่นคงของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องกลุ่มเปราะบาง ตั้งศูนย์ Disaster Care Center for the Vulnerable (DCCV) พร้อมรับมือช่วงภัย”
“คนกลุ่มนี้ต้องได้รับการช่วยเหลือก่อน ให้อุปกรณ์ คน เวลา มากกว่า ต้องคำนวนเพื่อคาดการณ์ รองรับ Climate Change ต้องทำแผนปฏิบัติการณ์”
วราวุธกล่าวว่า แม้จะไม่ได้จบด้านสิ่งแวดล้อมหรือสังคมสงเคราะห์มาโดยตรง แต่การทำงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้เข้าใจว่าทุกกระทรวงมีความเชื่อมโยงกัน และต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
บูรณาการสู่กรอบการดำเนินงาน มาตรการฯ และร่างนโยบายฯ
ในงานประชุม มีการจัดกิจกรรมกลุ่มย่อย: แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อกรอบการดำเนินงาน มาตรการฯ และร่างนโยบายฯ โดยแบ่งเป็นสี่หัวข้อ ตาม 4 นโยบายหลักในร่างนโยบายฉบับล่าสุด
- หัวข้อ 1: การสนับสนุนแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ สาขาการตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์
- หัวข้อ 2: การยกระดับกลไกภายในกระทรวงฯ เพื่อเพิ่มพูนความคุ้มครองทางสังคมแก่กลุ่มเปราะบาง
- หัวข้อ 3: การพัฒนาฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศของกลุ่มเปราะบาง และ
- หัวข้อ 4: การบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของกลุ่มเปราะบาง

การเปิดวงสนทนาให้หลายภาคส่วนได้มีส่วนร่วม ทำให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแข็งแกร่งมากขึ้นก่อนจะนำไปสู่กระบวนการเสนอร่างขั้นตอนต่อ ๆ ไป
ตัวอย่างที่น่าสนใจ ถูกยกมาพูดในวงหัวข้อย่อยที่ 4 โดยมีสมาชิกวงย่อยเล่าให้ฟังถึงกระบวนการการบูรณาการของหลายภาคส่วนว่า “กระทรวง พม. เข้าใจคน ส่วนกรมโลกร้อนเข้าใจวิทยาศาสตร์ เป็นตัวอย่างของความจำเป็นในการบูรณาการกัน” ชี้ให้เห็นว่าการส่งเสริมการปรับตัวให้กลุ่มเปราะบางในเรื่องสภาพภูมิอากาศ ไม่สามารถทำได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานเดียว
ข้อเสนอแนะในกลุ่มย่อยจะนำไปสู่การปรับปรุงร่างข้อเสนอในขั้นตอนถัดไป โดยมีข้อเสนอจากหลากหลายภาคส่วน เช่น ชี้ให้เห็นว่าเนื้อหามีและบทบาทความรับผิดชอบมีความทับซ้อนกันในระหว่างนโยบายหรือระหว่างมาตรการย่อย ในบางส่วนยังมีการใช้คำที่กำกวม หรือควรขยายขอบเขตที่มาตรการครอบคลุม อย่างบางข้อที่เจาะจงไปยังเด็กและเยาวชน ก็ขยายไปให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบางตามคำนิยามของ TEI และ พม. ในงานนี้ (ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก สตรี กลุ่มคนรายได้น้อย ผู้พิการ และกลุ่มชาติพันธุ์)
เป้าหมายและกระบวนการ กว่าจะมาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย
เป้าหมายของโครงการทั้งหมดคือการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยอ้างอิงแนวปฏิบัติจากต่างประเทศ จึงได้ดำเนินกระบวนการห้องปฏิบัติการเชิงนโยบาย (Policy Lab) เพื่อให้นโยบายและกรอบการดำเนินงานมีความชัดเจนและได้รับการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

วิจารย์ ระบุว่า วันนี้เราจะได้รับฟังประเด็นทิศทางการพัฒนาประเทศทั้งในภาคสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และแนวโน้มในอนาคต หลังจากนี้จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากผลการดำเนินงาน Policy Lab ในขั้นสุดท้าย ก่อนนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
รัฐมนตรีกระทรวง พม. ให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและบทบาทของกระทรวง พม. ต่อการปรับตัว เพื่อให้เกิดแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน
พร้อมย้ำถึงความสำคัญของประเด็นสภาพภูมิอากาศและกลุ่มเปราะบาง โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายเมื่อปีที่ผ่านมา
“ถ้าพูดถึงการช่วยเหลือในเหตุการณ์ภัยพิบัติ เราต้องพิจารณาว่าใครควรได้รับความช่วยเหลือก่อน นั่นก็คือกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราจำเป็นต้องมีข้อมูล รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใด และหาวิธีเข้าถึงกลุ่มเหล่านี้ให้รวดเร็วที่สุด”
ความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ในการพัฒนากรอบนโยบายและมาตรการต่างๆ จะช่วยเติมเต็มให้กระทรวง พม. สามารถนำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไป