แนะ รัฐ ปรับมุมมอง เข้าใจคุณค่า ‘อัตลักษณ์’ ชายแดนใต้ เติมเต็มกระบวนการสันติภาพ

Policy Forum เห็นพ้อง อัตลักษณ์มลายู ชายแดนใต้ ยังถูกกดทับ ชวนคิด รัฐ – ประชาชน มอง ‘พหุวัฒนธรรม’ ในความหมายเดียวหรือไม่ แนะ รัฐต้องปรับตัว เปลี่ยนมุมมองจาก ‘ชาตินิยม’ ไปสู่ ‘ชาติสัมพันธ์’ เชื่อเมื่อ อัตลักษณ์ หรือ ตัวตน ถูกเติมเต็ม ผู้คนจะรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ ขณะที่ กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ชูจัดความสัมพันธ์ใหม่ เน้นเข้าใจ อัตลักษณ์ที่หลากหลาย แก้ปัญหา

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 68 The ActivePolicy Watch Thai PBS ร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ทำความรู้จักอัตลักษณ์ชายแดนใต้ ใน Policy Forum คุณค่าอัตลักษณ์ชายแดนใต้ เพื่อสร้างความเข้าใจ และรับรู้คุณค่า ของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จะนำไปสู่ทางออกของสันติภาพ

ขอแค่เข้าใจ เคารพ ให้เกียรติ อย่ากดทับ

ณายิบ อาแวบือซา นักวิชาการอิสระ มองว่า อัตลักษณ์ความเป็นมลายูพื้นถิ่น ไม่ได้มองว่าเป็นแค่การแต่งกาย ภาษา อาหาร ส่วนตัวในฐานะคนมลายูมุสลิม ถือว่าคนมลายู รับอะไรมาได้ง่าย ๆ รับวัฒนธรรมมาทุก แต่สิ่งไหนที่ไม่เหมาะสม หรือขัดต่อหลักศาสนาก็จะดีดออก คนมลายูจึงอยู่ง่าย ปรับตัวให้อยู่ร่วมกับสิ่งอื่น ๆ ต่อยอดวัฒนธรรมได้

ณายิบ อาแวบือซา นักวิชาการอิสระ

โดยมองว่า อัตลักษณ์ ในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยตัวของมันเองไม่มีปัญหาอะไร สิ่งที่เป็นปัญหา คือ เจตจำนงและมุมมองต่อวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อว่าวัฒนธรรมสยามไม่เคยเป็นปัญหา เพราะเป็นวัฒนธรรมที่ต่อเติมมาจนนิ่ง เช่นกันกับวัฒนธรรมลายู วัฒนธรรมของชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ แต่มองว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือ วัฒนธรรมไทยหรือไม่ ? ดูเหมือนวัฒนธรรมไทยยังถูกคิดไม่เสร็จ เมื่อไปปะทะกับวัฒนธรรมที่นิ่งแล้ว จึงมองว่าไม่เหมือนกัน นี่อาจเป็นปัญหา ทำให้ชวนคิดว่าวัฒนธรรม และพหุวัฒนธรรมของผู้คน กับรัฐ มองในความหมายเดียวกันไหม ?

ณายิบ ยังเปรียบเทียบให้เห็นว่า เวลาพูดถึงพหุวัฒนธรรม เมื่อสมัย 50 ปีก่อน คนมลายูพูดไทยไม่ได้ แต่ตอนนี้ เริ่มพูดได้มากขึ้น หรือแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็ฟังออก เช่นกันกับคนไทยพุทธ ซึ่งในอดีตอาจพูดมลายูไม่ได้ แต่ตอนนี้หลายคนฟัง และสื่อสารได้ คนจีนเมื่อก่อนพูดมลายูได้ แต่ตอนนี้ก็พูดไม่ได้ ทำไมเราถึงปฎิเสธอัตลักษณ์ลักษณะนี้ออกไป สรุปแล้วอะไรคือปัญหา

“วัฒนธรรมมลายู ไม่ได้ผูกติดกับเรื่องความมั่นคง แต่คือรสนิยม เป็นความชอบของคน ผมนุ่งโสร่ง รู้สึกสบายกว่านุ่งกางเกง จริง ๆ นี่คือรสนิยมที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็ได้ แค่ขอให้เคารพกัน ให้เกียรติกัน อย่ากดทับ อย่ามาบงการ กันได้ไหม”

ณายิบ อาแวบือซา

หนุนอัตลักษณ์ สู่โอกาสที่เปิดกว้าง

ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชายแดนใต้ เชื่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เกิดเมื่อรัฐศูนย์กลางลงไปยุ่มย่ามในพื้นที่ มีผู้นำที่มีกรอบความคิดชาตินิยมลงไปใช้จัดการ

ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชายแดนใต้

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เราเคยเรียกร้องให้รัฐสนับสนุนเด็กในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้เรียนภาษามลายู จนตอนนี้ก็ยังไม่ทำอย่างจริงจัง ระบบการศึกษาทำให้ต้องใช้ภาษากลาง ซึ่งสำหรับคนในพื้นที่แล้วคือการสูญเสียโอกาส รัฐไทยคิดว่าภาษามลายูเป็นปัญหาความมั่นคง แต่ถ้ารัฐลองคิดมุมกลับ จะทำให้เห็นโอกาสการติดต่อสื่อสาร การค้าขายในประเทศคาบสมุทรมลายูอีกมหาศาล

อัตลักษณ์ชายแดนใต้ ต้องถูกยอมรับ

สอดคล้องกับ ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ให้ความเห็นว่า จริง ๆ งานวิจัยหลายชิ้นค่อนข้างที่จะคอนเฟิร์มว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หนึ่งในประเด็นสำคัญ มาจากเรื่องอัตลักษณ์ เพราะฉะนั้นต้องทำให้อัตลักษณ์จะถูกยอมรับอย่างแท้จริง รวมถึงไปสู่ขั้นที่จะให้เกิดความเคารพ ทำให้อัตลักษณ์มีที่ทางในสังคมได้มากขึ้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่จะไปเติมเต็มกระบวนการสันติภาพ ที่ไม่ใช่เพียงการพูดคุยอย่างเดียว

ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

แน่นอนว่าในในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็มีหลากหลายเรื่องราว อัตลักษณ์ก็เป็นเพียงเป็นหนึ่งในนั้น แล้วก็กลายว่าเป็นประเด็นสำคัญเสียด้วย หลาย ๆ ครั้ง ผู้คนที่รู้สึกว่าถูกกดทับ รู้สึกว่าตัวตนของเขาไม่ได้รับการยอมรับเพราะฉะนั้นโจทย์สำคัญ คือจะทำอย่างไรให้อัตลักษณ์ของพวกเขา ตัวตนของพวกเขา หรือวิถีชีวิตของพวกเขา ได้รับการยอมรับ

“ที่ผ่านมาเราเห็นว่ามีความพยายามในหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำให้อยู่ในสภาวะที่มีความรู้สึก ที่ดีขึ้น คนกลุ่มนึงพอเขารู้สึกว่าอัตลักษณ์ หรือตัวตนของเขามันถูกเติมเต็ม เขาก็จะรู้สึกว่าเป็นเจ้าของของประเทศนี้ไปด้วย แต่ว่า พออัตลักษณ์ มันไม่ได้ถูกการตรวจสอบ รวมถึงเงื่อนไขของความรุนแรง ทำให้อัตลักษณ์มันไม่ถูกยอมรับ สุดท้ายแล้วความรุนแรงจึงยังไม่จบลง เพราะฉะนั้นโจทย์สำคัญ ก็เลยนำมาสู่การคิด การมองว่า ต้องทำงานในเชิงการนำอัตลักษณ์ของคนลายูมุสลิมขึ้นมายังไง อาจจะไม่ใช่ลายูมุสลิมอย่างเดียว อย่างที่เราคุยกันก็คือว่า ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จริง ๆ มันมีอัตลักษ์ที่หลากหลายมาก”

ผศ.ยาสมิน ซัตตาร์

รัฐต้องปรับตัว เปลี่ยนมุมมองจาก ‘ชาตินิยม’ ไปสู่ ‘ชาติสัมพันธ์’

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
สะท้อนมุมมองในฐานะคนนอกพื้นที่ชายแดนใต้ โดยยอมรับว่า สิ่งที่เหมือนกัน คือความรู้สึก ความเป็นคน มากกว่านั้น คือ การอยากรักษา สืบสานอัตลักษณ์เอาไว้ พร้อมทั้งความต้องการให้ถูกยอมรับ ให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมานุษยวิทยาประยุกต์และชาติพันธุ์ศึกษา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ทั้งนี้สังคมไทยกำหนดจุดเด่นของอัตลักษณ์เอาไว้ แต่มุมมองต่างหากที่เป็นปัญหา โดยเปรียบเทียบมุมมองในเรื่องอัตลักษณ์ผ่านภาพสะท้อนของป่า ซึ่งเมื่อก่อนเมื่อยังไม่มีการแบ่งเขตของรัฐ ของประเทศ ไม่มีพรมแดน ผู้คนสามารถข้ามไปมาหาสู่กันได้ แต่ตอนนี้ข้ามไม่ได้ จากป่าก็กลายเป็นสวน มีรั้วรอบขอบชิด โดยสวนก็มีทั้ง สวนเชิงเดี่ยว และ สวนผสมผสาน

โดยสวนเชิงเดี่ยว ก็จะดูว่า ฝืนธรรมชาติ ฝืนความจริง มองว่า เป็นพืชชนิดเดียวเท่านั้น พืชชนิดอื่นก็จะกลายเป็นวัชพืช เปรียบว่าอัตลักษณ์อื่น ๆ กลายเป็นวัชพืชหมด ต้องพยายามกำจัด พยายามด้อยค่า กลายเป็นเรื่องการสร้างความกลัว ดังนั้นต้องเปลี่ยนมุมมองเป็นการมองอัตลักษณ์ เป็น สวนผสมผสาน มีความหลากหลาย เปลี่ยน คุณฆ่า ให้เป็น คุณค่า แล้วนับรวมทุกอัตลักษณ์ ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองให้เป็นพื้นที่สวนผสมผสานของอัตลักษณ์ เราก็จะอยู่กันอย่างไร้อัตลักษณ์

ผศ.สุวิชาน ยังเสนอว่า ถึงเวลาที่รัฐต้องแปลงร่างตัวเอง เพื่อปรับตัว ยกระดับในการกำหนด มุมมองทิศทางการขับเคลื่อนอัตลักษณ์ของชาติใหม่ ที่เป็นอัตลักษณ์เชิงพหุลักษณ์ ไม่ใช่เอกลักษณ์ ต้องเปลี่ยนมุมมองจาก เรื่องของ ชาตินิยม ไปสู่ ชาติสัมพันธ์ จึงขอฝากในระดับนโยบาย ขั้นแรก ต้องยอมรับอัตลักษณ์ที่หลากหลายแล้วจะเห็นโอกาส เห็นความร่ำรวยทางอัตลักษณ์ สร้างคุณค่าร่วม สร้างคุณค่าอัตลักษณ์ที่แตกต่าง สร้างโอกาสร่วมของชาติ ไทย

“ต้องบูรณาการ หลอมรวมทุกคนมีให้ศักดิ์ศรี ไม่จำกัดศักยภาพ เปิดโอกาส การทำนโยบายให้ศักดิ์สิทธิ์ และเท่าเทียมกัน ถ้าจะนำไปสู่สันติภาพชายแดนใต้ ต้องบูรณาการ ทั้ง ศักยภาพ ศักดิ์ศรี และศักดิ์สิทธิ์ ให้เสมอภาคกัน”

ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

จัดความสัมพันธ์ใหม่ ชูอัตลักษณ์ที่หลากหลาย  

ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ย้ำว่า ความหลากหลายมีแน่นอนในชายแดนใต้ ถือเป็นลักษณะพิเศษ เมื่อประชาชกร 80% เป็นชาวมลายูในไทย ที่ผ่านมาก็ตั้งคำถาม เราใช้คำว่ามลายูอย่างลื่นไหล แต่คำนี้กลับไม่ปรากฎอย่างเป็นทางการของไทยมาหลาย 10 ปีแล้ว คำว่า มลายู เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดการกดทับ ดังนั้นรัฐต้องทำความเข้าใจ และจัดความสัมพันธ์ใหม่ ในเรื่องพหุวัฒนธรรม แม้ว่าที่ผ่านมาฝ่ายความมั่นคง ดูเหมือนจะเปิดรับ แต่ยังมีปัญหาในทางปฏิบัติ เกิดการกดทับผู้คนในพื้นที่ นี่จึงเป็นหนึ่งในสาระสำคัญที่กรรมาธิการฯ จะจัดทำข้อเสนอถึงสภาฯ และรัฐบาล ไปสู่การแก้ปัญหาความไม่สงบอย่างเป็นรูปธรรม

จาตุรนต์ ฉายแสง ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้

“ตอนนี้ กมธ.กำลังเขียนสรุปรายงานข้อเสนอ อยู่ เรื่องใหญ่ที่คิดว่าโยงกับเจตจำนงทางการเมือง คือ รัฐต้องเปลี่ยนมุมมอง จัดความสัมพันธ์ในสังคมที่มีอัตลักษณ์ มีความพิเศษให้ถูกต้องเหมาะสม ต้องยอมรับหนุนเสริมอัตลักษณ์ ยอมรับว่า สังคมไทยต่างกันได้ ต่างกันอย่างงดงาม อยู่ด้วยกันได้ ทุกส่วนได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง”

จาตุรนต์ ฉายแสง

ประธาน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ยังระบุถึงแนวทางการส่งเสริมสันติภาพ โดยจำเป็นต้องมีพื้นที่ปลอดภัย ต้องส่งเสริมให้ใช้เสรีภาพทางการเมืองโดยสันติวิธี เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง การกระจายอำนาจ ถ้าไปศึกษาจะพบว่า สิ่งที่คิดไม่ตกในพื้นที่ชายแดนใต้ คือ เป็นพื้นที่ที่มีระบบรวมศูนย์อำนาจเป็นพิเศษที่สุด มีการปกครองพิเศษมานาน มีองค์กรระดับชาติ มีกฎหมายของตัวเอง ดังนั้นชายแดนใต้ต้องการการกระจายอำนาจมากเป็นพิเศษ ต้องลดการรวมศูนย์อำนาจ

ทั้งนี้ในเวทียังเห็นสอดคล้องกันว่า ต้องส่งเสริมให้เกิดพื้นที่ปลอดภัย และการใช้เสรีภาพทางการเมืองโดยสันติวิธี, ต้องส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมเข้มแข็ง บนพื้นฐานความหลากหลายทางวัฒนธรรม, ต้องทำให้การสื่อสารระหว่างประชาชนกับรัฐ มากกว่าการอยู่บนโต๊ะเจรจา เพื่อให้กระบวนการสร้างสันติภาพเกิดขึ้นได้จริง


Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active