ภาคประชาสังคม ร่วมจัดงาน “เสียงเรา เข้าใจเรา เข้าใจกัน” หวังรื้อถอน ‘อคติ’ ชาติพันธุ์ ผ่านการรับฟังอย่างเข้าใจ ผ่านเครื่องมือสื่อสารหลายรูปแบบ

“ฝุ่นเพราะคนบนดอยเผาป่า น้ำท่วมเพราะคนบนดอยตัดไม้ทำลายป่า” อคติที่ยังพบอยู่ แม้จะมีกฎหมายชาติพันธุ์แล้วก็ตาม
การสร้างความเข้าใจเรื่องชาติพันธุ์ ถูกบอกเล่าผ่านอาหาร เสียงเพลง เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ภาพถ่ายและวิดีโอในงาน “เสียงเรา เข้าใจเรา เข้าใจกัน” งานที่จะรื้อถอน ‘อคติ’ ชาติพันธุ์ ผ่านการรับฟังอย่างเข้าใจ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 68
สื่อช่วยลดอคติได้อย่างไร
‘สุนารี วารีขจรผล’ เพจ Sunaree travel alone หนึ่งในผู้ผลิตสื่อเพื่อลดอคติ กล่าวว่า สื่อมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองของคนได้ และสิ่งที่เราได้ยินเกี่ยวกับความไม่ยุติธรรมต่อกลุ่มพี่น้องชาติพันธุ์นั้นมีเยอะ พร้อมยกตัวอย่างจากตัวเอง ที่มีโอกาสได้ลงพื้นที่บ้านแม่นิงใน อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
ภาพแรกหลังจากที่เดินทางออกจากตัวเมืองเข้าไปพื้นที่แม่นิงใน เธอเห็นภาพภูเขาหัวโล้นกินพื้นที่กว้าง ทำให้เกิดการตั้งคำถามในใจว่า “ทำไมพี่น้องบนดอยเขาทำข้าวโพดกันเยอะจังเลย”
แต่เมื่อได้เข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้าน ได้สัมผัสวิถีชีวิต รับฟังเรื่องราว และอยู่กับเขามากพอ จึงเข้าใจว่า ภาพที่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นซับซ้อนมากกว่าที่เคยรับรู้

“แม่นิงในเมื่อก่อน เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีรายแหล่งได้จากที่ไหนเลย เป็นหมู่บ้านปกาเกอะญอที่ใช้ชีวิตอิงกับธรรมชาติ 100% แต่วันหนึ่งเงินกลายเป็นปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต การเข้าโรงพยาบาล การศึกษา ล้วนแต่ต้องใช้เงิน แม้จะขายวัวขายควายก็ไม่ได้ราคา ฉะนั้นการเข้ามาของข้าวโพด ที่การให้เครดิตกับเมล็ดพันธุ์โดยใช้ทุนน้อย แต่ต้องปลูกส่งคืนให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกของการหารายได้”
สุนารี เล่าอีกว่า นั่นก็กลายเป็นว่าข้าวโพด ทำให้ชุมชนบนพื้นที่สูงต้องกลายเป็นจำเลยของมลพิษและภัยพิบัติทั้งฝุ่นและน้ำท่วม
“พอเราเข้าไปในชุมชนเราถึงรู้ว่าเขาไม่มีทางเลือก ปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงการศึกษาได้รวมตัวกันเพื่อที่จะหาทางรอดใหม่ให้กับตัวเอง โดยการเอาทรัพยากรที่มีในชุมชน มาแปรรูปและสร้างมูลค่าเพื่อที่จะหาทางรอด”
นอกจากเป้าหมายเรื่องของรายได้ อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขาพยายามทำอยู่ นั่นคือการพยายามลดการปลูกพืชเชิงเดี่ยว สุนารี จึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้ โดยผลิตออกมาเป็นซีรีส์ “เสียงกระซิบจากพืชเชิงเดี่ยวสู่เศรษฐกิจใหม่” เป้าหมายอาจไม่ใช่เรื่องของรายได้และการใช้ต้นทุนชุมชนเท่านั้น แต่สิ่งนี้อาจจะกำลังนำไปสู่การลดอคติต่อชาติพันธุ์ เรื่องของวิถีชีวิต ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นเหตุของมลพิษต่าง ๆ
ซึ่งนอกจากสุนารีแล้ว ยังมีนักสร้างสรรค์สื่ออีกมากมาย ที่เข้ามาขับเคลื่อนประเด็นนี้ผ่านการผลิตสื่อตามความถนัด เพื่อช่วยกันเป็นแรงขับเคลื่อน ลดอคติที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
เปิดพื้นที่ในการเรียนรู้ร่วมกันผ่านสื่อทางวัฒนธรรม
‘ผศ.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์’ หรือ อาจารย์ชิ แห่งสำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในฐานะชาวปกาเกอะญอ ผู้เปิดพื้นที่สื่อสารเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ กล่าวว่า กิจกรรมนี้คือการสร้างเครือข่ายจากทางวิชาการ ภาคสื่อมวลชน ภาคธุรกิจ ภาคองค์กรประชาสังคม รวมถึงผู้ประกอบการอิสระมารวมกัน เพื่อต้องการส่งเสียง สร้างเนื้อหาและข้อมูลใหม่เกี่ยวกับการลดอคติทางชาติพันธุ์ โดยโจทย์คือ ใครมีศักยภาพในการทำอะไรได้บ้าง
“เราอยากส่งเสียงเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ อยากจะสร้างและพัฒนาคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะเป็นพาหนะหนึ่งเพื่อนำไปสู่การลดอคติทางชาติพันธุ์”

‘อภินันท์ ธรรมเสนา’ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กล่าวว่า เราอาจจะคิดในวงพวกเราว่า ความเข้าใจเรื่องชาติพันธุ์มันดีขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ ตอนนี้ยังคงมีอคติที่ส่งผลต่อกลุ่มชาติพันธุ์อยู่
การมีกฎหมายชาติพันธุ์จะช่วยลดอคติไหม
อภินันท์ ให้ความเห็นว่า อคติลดยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่ากฎหมายไม่ได้ต้องการไปลดอคติ แต่อย่างน้อยที่สุดทำให้คนเข้าใจวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์และเท่าทันความรู้สึก
“เราบังคับไม่ได้ว่าไม่ให้มีอคติ แม้กระทั่งนั่งอยู่ในนี้ เราก็มีอคติกับชาติพันธุ์ในบางมุม”
อย่างไรก็ตาม อภินันท์ มองว่าแม้กฎหมายจะไม่ได้มีเจตนาอย่างตรงไปตรงมาที่จะไปลดอคติ แต่จะนำไปสู่การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้
