ตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า จ.เชียงราย รับมือน้ำท่วม-แก้แม่น้ำเปื้อนพิษ บรรเทาผลกระทบ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ กำชับทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำช่วงฤดูฝน เตรียมแผนช่วยเหลือทันที พร้อมเร่งรัดคลี่คลายสถานการณ์ คุณภาพน้ำ แม่น้ำกก-แม่น้ำรวก-แม่น้ำสาย และ แม่น้ำโขง หลังการปนเปื้อนโลหะหนัก ลดเสี่ยงกระทบสุขภาพประชาชน

วันนี้ (26 พ.ค. 68) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 4/2568 เปิดเผยว่า หลังไทยเข้าสู่ฤดูฝน อย่างเป็นทางการแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดยโสธร จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยกำชับหน่วยงานบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมวางแผนเตรียมจัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้

เตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) รับมือน้ำท่วม-แก้มลพิษปนเปื้อน

โดยในวันที่ 27 พ.ค. 68 จะเดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิด ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อบริหารจัดการมวลน้ำในช่วงฤดูฝน ป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม รวมทั้งแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่พบการปนเปื้อนสารโลหะหนัก ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

พร้อมทั้งเป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อเร่งรัดขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยคลี่คลายสถานการณ์และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ

ฤดูน้ำหลากมาแล้ว ท้องถิ่นตั้งรับเพื่อลดปัญหาภัยด้านน้ำ

ส่วนประเด็นอื่น ๆ นั้น ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามข้อมูลสภาพอากาศและปริมาณฝน รวมถึงเฝ้าระวังสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย พร้อมทั้งเตรียมการป้องกันหากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก

ขณะเดียวกัน ให้กรมชลประทาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ติดตามวิเคราะห์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง และปรับแผนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ให้มีปริมาณน้ำที่เหมาะสมเพื่อรองรับน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ โดยให้คำนึงถึงปริมาณน้ำในช่วงฤดูแล้งถัดไปด้วย พร้อมเน้นย้ำให้ สทนช. กำกับและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงติดตามการดำเนินงานตามมาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเข้มข้น เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด

ไทยยังมีพื้นที่เสี่ยง ‘น้ำแล้ง’ หลายแห่ง

นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและอ่างเก็บน้ำที่เฝ้าระวังน้ำน้อย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดกาฬสินธุ์ แม้ขณะนี้มีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภค แต่เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนยังคงมีน้อย จึงได้มอบหมายให้จังหวัด กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งซ่อมแซมหรือปรับปรุงแหล่งน้ำ บ่อบาดาล รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่อยู่ในความรับผิดชอบให้พร้อมใช้งานและสามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนไว้ใช้ในฤดูแล้ง เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคและการเกษตรตามลำดับ อีกทั้งได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วง โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน จะต้องมีการเตรียมแผนรับมือเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ทันที

ทั้งนี้ได้มี มติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนเป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนเป็นกรณีเร่งด่วน และเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 22,309 รายการ เป็นโครงการที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและตรวจสอบโดย สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผ่านคณะกรรมการลุ่มน้ำเสนอความเห็น โดยทั้งหมดเป็นโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ภายในช่วง 1 ปี หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบประปาและมีน้ำสะอาดใช้เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านครัวเรือน

เช่นเดียวกับพื้นที่ทำการเกษตรนอกเขตชลประทานที่มีโอกาสเกิดภัยแล้ง 22.36 ล้านไร่ ยังจะได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่การเกษตรที่มีแหล่งน้ำและระบบกระจายน้ำ 2.3 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.08 ของพื้นที่ ส่วนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมซ้ำซาก 13.25 ล้านไร่ จะได้รับการแก้ไขและบรรเทาน้ำท่วม 0.36 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 4.74 ของพื้นที่ ประโยชน์จากโครงการฯ ยังสามารถลดการชะล้างพังทลายของดินได้ 0.18 ล้านไร่ เกิดการจ้างแรงงานกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ประมาณ 250,000 คนต่อเดือน ครัวเรือนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านทรัพยากรน้ำ 3.374 ล้านครัวเรือน และมีมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม 124,648.42 ล้านบาท โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบกำกับการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อย่างเคร่งครัด

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ขณะที่ สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บอกว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและเพิ่มกรอบวงเงินโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ช่วยสนับสนุนและรองรับการขยายตัวและความต้องการใช้น้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาดำเนินการเดิม 4 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2568) เป็น 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – 2570) และขยายกรอบวงเงินงบประมาณจากเดิม 3,651.62 ล้านบาท เป็น 4,291.62 ล้านบาท และมอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยเร็ว

อีกทั้งที่ประชุมได้พิจารณาการขออนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะเพื่อกิจการขนาดใหญ่ที่ใช้น้ำปริมาณมาก หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามลุ่มน้ำ หรือครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวางโดยเป็นคำขออนุญาตของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 4 คำขอ และกรมชลประทาน 1 คำขอ ซึ่ง สทนช. ได้พิจารณากลั่นกรองและตรวจสอบแล้วว่ามีความครบถ้วนและสอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบและให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมชลประทานติดตามการใช้น้ำอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในประเด็นสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ การปรับปรุงแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด รวมถึงเห็นชอบผังน้ำเพิ่มเติม ได้แก่ ผังน้ำลุ่มน้ำสาละวิน เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำต่อไป

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active