
นักวิชาการด้านภัยพิบัติ ชี้! ไทยยังมีจุดอ่อนด้าน “ทุนความรู้” แนะเร่งใช้เทคโนโลยี-สร้างเครือข่าย ‘ฮิวแมนแวร์’ สู้โลกร้อน เพราะไทยยังติดล็อกปัญหาการจัดการแบบ ‘ภาคส่วน’ ทำให้มองข้ามความซับซ้อน และยังขาดข้อมูลที่ละเอียดในระดับครัวเรือนและพื้นที่เฉพาะ โดยเฉพาะใน ‘ชุมชนแออัด’ ที่เข้าถึงยาก และมีกลุ่มเปราะบางที่อาจ “ตกสำรวจ” เมื่อเกิดภัยพิบัติ

รศ.อมร กฤษณพันธุ์ รองคณบดีฝ่ายบริหารแผนกลยุทธ์และพัฒนาบุคลากร คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และหัวหน้าโครงการหลักสูตร ” Smart City Leaders for Disaster Resilience ผู้นำเมืองอัจฉริยะพร้อมรับมือภัยพิบัติ กล่าวว่า
ประเทศไทยเผชิญกับภัยพิบัติหลากหลายรูปแบบ ทั้งจากธรรมชาติและผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และการกัดเซาะชายฝั่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีความหนาแน่นสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากฝนตกหนักแบบเฉียบพลัน และระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ
ภัยพิบัติเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งยังเพิ่มภาระให้แก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบริหารจัดการวิกฤตอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกัน แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวโดยตรง แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 ก็เป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่สะท้อนถึงความเปราะบางของเมือง และเน้นย้ำความจำเป็นในการวางแผนรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบอย่างมีระบบและยั่งยืน
ความท้าทายในการจัดการภัยพิบัติ
ในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนด้านการจัดการภัยพิบัติและเชื่อมโยงหลายมิติมากขึ้น ที่ต้องมองไปถึงสาเหตุผลกระทบอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมองไปถึงการจัดการความท้าทายที่ต้องเข้าถึง เช่น ปัญหาข้ามเขตการปกครอง และต้องการการบูรณาการความรู้ข้ามศาสตร์ เช่น มองเรื่องน้ำแบบองค์รวม ไม่ใช่แยกส่วน
ซึ่งเป็นความท้าทายต่อองค์กรที่รับผิดชอบ หรือแม้กระทั้งกลุ่มเปราะบางและความเหลื่อมล้ำเช่น ผู้ป่วยติดเตียง เด็ก หรือผู้สูงอายุในชุมชนแออัดที่การเข้าถึงช่วยเหลือทำได้ยาก และคนที่ไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้าน หรือตกสำรวจทำให้หลุดจากระบบช่วยเหลือ เยียวยา หรือแม้แต่ ความไม่เข้าใจระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น ที่ยังเป็นประเด็นที่มีให้เห็นบ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะยังเห็นการออกแบบนโยบายจากส่วนกลางอาจไม่ได้ฟังเสียงท้องถิ่นอย่างแท้จริง หรือไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาจริง และเมืองใหญ่ๆของไทยอีกหลายเมืองที่เผชิญภัยพิบัติที่ต่างกันออกไปก็ยังติดล็อกกับปัญหานี้อยู่
เป้าหมายและทิศทางที่ไทยต้องเดินหน้าต่อการรับมืออนาคต
ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ประเทศไทยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ ปลอดภัย และเติบโตอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมให้เกิด “เมืองอัจฉริยะ” ที่สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลในการบริหารจัดการเมืองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยุทธศาสตร์เหล่านี้เชื่อมโยงกับแนวนโยบายด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวของเมืองต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ได้ผลักดันให้เกิดพื้นที่นำร่องการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในหลายพื้นที่เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การใช้ข้อมูล และการวางแผนพื้นที่อย่างบูรณาการ เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมทั้งมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอย่างทั่วถึงเพื่อยกระดับขีดความสามารถของท้องถิ่นในการรับมือกับภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ เพราะการจัดการเมืองด้วยการใช้เทคโนโลยีจะลดเวลา ช่วยผู้ปฎิบัติมองอนาคต คาดการณ์กับภัยที่จะเกิด และประเมินได้แม่นยำขึ้น
ข้อเสนอเทคโนโลยีและทางออกที่ไปต่อในการจัดการภัยพิบัติ
ที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ และงานวิจัยจากนักวิชาการหลายแห่งเริ่ม การใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มในการรับมือภัยพิบัติ โดยเน้นการบูรณาการกับท้องถิ่นและประชาชน เช่น แพลตฟอร์มและข้อมูลกลาง (ศูนย์ข้อมูลกลาง) ที่ต้องเริ่มจากการ วางผังเมือง ที่เหมาะสม คำนึงถึงสภาพแวดล้อมและความเสี่ยง (เช่น Green Infrastructure) ใช้ เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS), Remote Sensing, และ เซ็นเซอร์ มาประยุกต์ใช้เพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงและติดตามสถานการณ์แบบ เรียลไทม์ การพัฒนาเซ็นเซอร์หรือตัวตรวจวัดระดับน้ำให้ชุมชนดูแลตัวเองได้ เช่น ใช้ Google และการ ปักหมุด ข้อมูล หรือข้อมูลที่รวบรวมต้องเป็น Real-Time และมีการตรวจสอบยืนยัน (Confirrm หรือ Stamp) โดยผู้นำชุมชน เพื่อช่วยให้คนนอกระบบได้รับการช่วยเหลือเยียวยาแบบทั่วถึง
เพราะที่ผ่านมา จะเห็นเคสที่เคยเผชิญภัยพิบัติน้ำท่วม ที่อยู่ในพื้นที่ แต่ไม่ได้เป็นผู้อยู่ในทะเบียนบ้าน หรือเป็นผู้ได้รับผลกระทบหลังย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติมานาน แต่กลับไม่ได้รับการเยียวยา หรือการเป็นกลุ่มคนเปราะบางตกสำรวจจากข้อมูลของรัฐที่จะยึดหลักฐานที่อยู่อาศัยกับการเป็นเจ้าบ้านที่จะได้รับการเยียวยา ซึ่งหากมองต่างอย่างเข้าใจ ผู้อาศัยกลุ่มนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
การที่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ยกตัวอย่าง ผู้ที่มาอาศัยบ้านเช่า หรือมาอาศัยกับญาติ ที่กระทบภัยพิบัติ ก็ควรจะได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึงจริงๆ ซึ่งหากมีท้องถิ่นยืนยันข้อมูลว่าอยู่อาศัยมานานมานาน หรือมีหลักฐานจากการเก็บข้อมูลพื้นที่โดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยก็จะทำให้การช่วยเหลือเข้าถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริงๆได้ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
การพัฒนาบุคลากรและการมีส่วนร่วมคือหัวใจสำคัญกับการจัดการภัยพิบัติไทย
การพัฒนา กำลังคน ในท้องถิ่นให้เข้าใจความเสี่ยงและสามารถใช้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้ Tailor-Made องค์ความรู้ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่นสนับสนุนให้ชุมชน ตรวจสอบข้อมูลกันเอง เพื่อให้ข้อมูลกลุ่มเปราะบางที่ไม่ตรงตามทะเบียนบ้านหรือตกสำรวจเข้าสู่ระบบการสร้างความตระหนัก (Awareness) ในระดับกระทรวง/หน่วยงานเพื่อให้ KPI สอดคล้องและบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยให้ความสำคัญกับภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ช่วงเกิดเหตุ
การประยุกต์ใช้เพื่อการช่วยเหลือ
การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการภัยพิบัติมีประโยชน์มาก ซึ่งหากมีการใช้โปรแกรมที่เหมือน Google คำนวณเส้นทางที่เร็วที่สุดผูกกับ แผนที่ความเสี่ยง เพื่อจัดลำดับความสำคัญและเส้นทางในการเข้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง ในชุมชนแออัดได้อย่างทันเวลาเมื่อเกิดน้ำท่วม หรือแม้กระทั้งสามารถทำได้ถึงขั้นจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ คล้ายๆ Digital Twin เพื่อกำหนดเส้นทางน้ำ ระดับน้ำสูงต่ำ และวางแผนอพยพ รับมือในระดับครัวเรือนและชุมชน เรื่องนี้คือการป้องกันก่อนเกิดภัยจะลดปัญหาการช่วยเหลือไปได้มาก
การแก้ไขปัญหาในภาพรวม
การส่งเสริมให้มี การกระจายอำนาจ ในการตัดสินใจ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นคือผู้ที่ประสบปัญหาและรู้ปัญหาที่แท้จริงส่งเสริม มาตรการแรงจูงใจ ให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้และอยู่กับภัยพิบัติ เช่น ข้อกำหนดผังเมืองก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเชื่อมโยงทั้งชุมชน ท้องถิ่น รัฐไปพร้อมกัน
ที่ผ่านมาบทบาทของทุกภาคส่วนสำคัญมากไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งต้องทำเพราะการจัดการภัยพิบัติที่ซับซ้อนต้องอาศัย การจับมือร่วมกัน และ การเป็นวาระสำคัญ ของทั้งประเทศ ตั้งแต่ระดับนโยบาย กระทรวง กรม ที่ต้องมองแบบบูรณาการ ภาครัฐที่ต้องเข้าใจท้องถิ่น ภาคเอกชนที่เข้ามาพัฒนาเทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือ ประชาชน/ท้องถิ่น ที่ต้องรู้ตัวตน รู้จุดเด่น-ข้อจำกัด และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและบริหารจัดการข้อมูลความเสี่ยงของตนเอง

อาจารย์นาอีม แลนิ ผู้เชี่ยวด้านการจัดการภัยพิบัติ กล่าวว่า การจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยในหลายทศวรรษที่ผ่านมาว่า เน้นไปที่การเยียวยาช่วยเหลือ เป็นหลัก ซึ่งเป็นการดำเนินการในส่วน “หลังเกิดภัยพิบัติ” เป็นส่วนใหญ่ แต่ในหลักการจัดการภัยพิบัติสากลนั้น ควรมีองค์ประกอบครบถ้วนทั้ง ก่อนเกิดภัย (การเตรียมพร้อม) ระหว่างเกิดภัย และ หลังเกิดภัย (การเยียวยา)
เปลี่ยนแนวคิด: จากการเยียวยา สู่การเตรียมพร้อมและ Resilience
ทั่วโลกและในเชิงทฤษฎี เน้นการสร้าง “ชุมชนเข้มแข็งแบบ Resilience” (ปรับตัว/ฟื้นตัวได้) ซึ่งหมายถึงความสามารถของชุมชนในการรับมือกับภัยพิบัติได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่ภัยพิบัติมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) World Bank ก็ได้ออกรายงานที่เน้นย้ำถึงการสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือภัยพิบัติ ตั้งแต่การเยียวยาไปจนถึงการเตรียมพร้อมและการปรับตัว อย่างการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อนแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Mitigation (การลดสาเหตุ เช่น ลดคาร์บอน) และ Adaptation (การปรับตัว/การเตรียมพร้อม เพื่อรับมือภัยพิบัติที่ถี่ขึ้น) ซึ่งทั่วโลกยังให้ความสำคัญและเงินทุนในส่วนของ Adaptation ค่อนข้างน้อย

ปัญหาและผลกระทบ ทุนความรู้คือจุดอ่อนสำคัญ
การที่ชุมชนจะสามารถปรับตัวได้ ต้องอาศัย 3 ทุนสำคัญ ได้แก่
ทุนทางสังคม (Social Capital): ไทยมีค่อนข้างดี คือมีสังคมที่เข้มแข็งและการช่วยเหลือกัน
ทุนทางการเมือง (Political Capital): มีเจตจำนงในการช่วยเหลือในระดับหนึ่ง
ทุนความรู้ (Intellectual Capital): นี่คือสิ่งที่ขาดมากที่สุด! คือความรู้และความตระหนักรู้ของชุมชนและท้องถิ่นในการรับมือและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีจำนวนมาก เช่น Smart City, AI, Sensor, ดาวเทียม แต่ขาด “ฮิวแมนแวร์ (Humanware)” หรือ “ความรู้และทักษะ” ที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านั้นไปใช้ในการรับมือกับภัยพิบัติได้จริงในระดับท้องถิ่นความรู้ที่ขาดไปไม่ใช่แค่เรื่องเยียวยา แต่เป็น หลักการจัดการภัยพิบัติ ครอบคลุมการรับมือ การปรับตัว การป้องกัน การคาดการณ์อนาคต และการวางแผนฉากทัศน์

แนวทางการแก้ไข
การแก้ปัญหาต้องเน้นการสร้าง “ฮิวแมนแวร์” และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในวงจรการจัดการภัยพิบัติให้ครบถ้วน
1. การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในท้องถิ่น (Localization)
ต้องเกิด “กระบวนการถ่ายทอดสู่ท้องถิ่น (Localization)” เพื่อให้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าไปใช้งานในท้องถิ่นได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการใช้ยังน้อยเนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎหมาย งบประมาณ และที่สำคัญคือ ความรู้และการตระหนักรู้
2. สร้างเครือข่ายและความรู้ (Humanware & Network)
จำเป็นต้องสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้และ “เครือข่าย” เพื่อเชื่อมโยง 3 ภาคส่วนสำคัญ:
ท้องถิ่น : ผู้รู้ปัญหาและ “Pain Points” ที่แท้จริง
ผู้ประกอบการ : ผู้มีเทคโนโลยี (Solutions) และความรู้ด้านเทคโนโลยี
นักวิชาการ : ผู้เชื่อมโยงความต้องการของท้องถิ่นกับเทคโนโลยีอย่างมีหลักการ
“One Size Fits All” ใช้ไม่ได้
เทคโนโลยีและโซลูชั่นต้องถูกปรับให้เข้ากับปัญหาที่แตกต่างกันของแต่ละท้องที่ เช่น บางที่ต้องการระบบเตือนภัยดินโคลนถล่มรวดเร็ว บางที่ต้องการการจัดการน้ำท่วมระยะยาว ขณะเดียวกันต้องมีการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้นักวิชาการผู้ประกอบการเข้าใจมุมมองของท้องถิ่น และท้องถิ่นได้รับองค์ความรู้ด้านการจัดการภัยพิบัติและการใช้เทคโนโลยี
การใช้เทคโนโลยีในทุกวงจรภัยพิบัติ
เทคโนโลยีสามารถเข้ามาเสริมได้ทั้งวงจรการจัดการภัยพิบัติ (ก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย หลังเกิดภัย) ดังนี้
ก่อนเกิดภัย : ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม, การคาดการณ์สภาพอากาศ, แผนที่จุดเสี่ยง เพื่อวางแผนรับมือ
ระหว่างเกิดภัย : ใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร การเดินทาง การเตือนภัย ปัจจุบันยังใช้ Line เป็นหลัก แต่ควรมีระบบข้อมูลของรัฐที่ชัดเจน
หลังเกิดภัย : ใช้เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลครัวเรือน ผู้เสียหาย ความสูญเสีย เพื่อบูรณาการข้อมูลและใช้ในการคาดการณ์ในอนาคต
หากเมืองต้องการเป็น Smart City หรือเมืองที่พร้อมรับมือภัยพิบัติอย่างแท้จริง ต้องไม่เพียงมี Software (ระบบข้อมูล) และ Hardware (เซ็นเซอร์, เทคโนโลยี) แต่ต้องสร้าง Humanware (คนที่มีความรู้) และใช้ข้อมูลในอดีตมาช่วยในการคาดการณ์และวางแผนอนาคตเพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่จะถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มุ่งพัฒนาสร้างผู้นำเข้มแข็งรับมือภัยพิบัติอนาคต
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปัจจุบัน จัดพัฒนาโครงการอบรม “Smart City Leaders for Disaster Resilience ผู้นำเมืองอัจฉริยะพร้อมรับมือภัยพิบัติ” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ ความรู้ และความเข้าใจเชิงทฤษฎีควบคู่กับการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้นวัตกรรมดิจิทัลในการบริหารจัดการ รับมือ และแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ตลอดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่พร้อมรับมือ ฟื้นฟู และปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างยั่งยืน สอบถามเพิ่มเติม : E-mail: smartcity@kmitl.ac.th โทร 098 229 1904 โทร 02 026 2333 ต่อ 5104

