ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ เผยพื้นที่ ‘หาดใหญ่ใน’ มีความยากในการเข้าไปช่วยเหลือ ต้องระมัดระวัง เสนอเร่งให้ความช่วยเหลือช่วงฝนลด ก่อนระลอกใหม่ 28-29 พ.ย.นี้ แนะวางแผนช่วยกลุ่มเปราะบางก่อนพร้อมกระจายจุดศูนย์อพยพเพิ่ม
สถานการณ์น้ำท่วม จ.สงขลา ยังคงวิกฤตหนัก โดยเฉพาะพื้นที่ ‘หาดใหญ่ใน’ ซึ่งมีผู้ประสบภัยติดอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ดังจะเห็นได้จากการปักหมุดขอความช่วยเหลือในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งประชาชนทั่วไปและกลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือโดยเร็ว ในขณะที่นักวิชาการระบุว่าพื้นที่มีความยากในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือทั้งน้ำเชี่ยว ความลึก กระแสน้ำ ควรระดมทุกความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้

ผศ.สมพร ช่วยอารีย์ ผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ กล่าวว่า พื้นที่ริมทางรถไฟหาดใหญ่เป็นอีกพื้นที่ ที่มีลักษณะเฉพาะทั้งต่ำกว่าระดับรางรถไฟอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะต่ำแล้วอีกด้านหนึ่งรางรถไฟก็ยังเป็นตัวกั้นน้ำทำให้ไม่สามารถระบายได้ ระบบคันกั้นน้ำก็ทำไว้รองรับกรณีน้ำไหลบ่า แต่ไม่ได้รองรับน้ำฝน รวมทั้งการอยู่ใกล้กับ คลองอู่ตะเภา คลอง ร.1 ทำให้มีกระแสน้ำเชี่ยวในบางจุด การเข้าไปช่วยเหลือจึงเป็นไปด้วยความลำบาก ทั้งเรือหรือเจ็ตสกีที่จะต้องใช้ความระมัดระวังและเข้าใจพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฝนเริ่มลดการเข้าไปช่วยเหลือจึงน่าจะต้องเร่งทำในช่วงนี้ที่ยังมีผู้ประสบภัยติดอยู่ในพื้นที่อยู่จำนวนมาก และคาดว่าในวันที่ 29-30 พ.ย. จะเริ่มกลับมามีฝนเพิ่มอีกระลอก การเข้าไปช่วยเหลือทำวิธีไหนก็ต้องเร่งทำ ทั้งทางน้ำ ทางอากาศ หรือเครืองมืออื่น ๆ ของกองทัพที่จะต้องเร่งช่วยเหลือให้ได้มากที่สุด

ด้าน ศ. สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของเพจ มิตรเอิร์ธ – mitrearth กล่าวว่า ภูมิประเทศของหาดใหญ่เป็นแอ่งกระทะ ซึ่งมีการกระจายตัวของประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นเหมือ “ภัยพิบัติ” x “การกระจายตัวของเมือง” ซึ่งจะเห็นว่ามีประชาชนปักหมุดรอความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก แนวทางการช่วยเหลือครั้งนี้จึงต้องให้ความสำคัญกับระบบขนส่งที่จะต้องทำแข่งกับเวลา และควรจัดศูนย์อพยพที่รองรับหลายแห่งเพื่อประหยัดเวลาในการขนส่งแต่ละจุด
ทั้งนี้ ประเมินแล้วจำเป็นต้องเร่งให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มเปราะบางก่อน ซึ่งจะต้องดูว่ามีข้อมูลในพื้นที่แค่ไหนเพื่อมาวางแผนการช่วยเหลือ สิ่งสำคัญคือการแก้ไปทีละจุด เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ประสบภัยได้จำนวนมากและเร็วที่สุด โดยความยากเรื่องกระแสน้ำ โดยเห็นน้ำนิ่ง ๆ แต่มีกระแสน้ำ โดยส่วนตัวประเมินได้แค่ปริมาณและทิศทางการไหลของน้ำ แต่ไม่สามารถคำนวณเรื่องความเชี่ยวหรือความแรงได้
