จุดอพยพล่มกลางน้ำ ผู้คนไร้สัญญาณ ‘นพ.สุภัทร’ เผยหาดใหญ่เผชิญวิกฤตยากที่สุดในรอบหลายปี

ชี้ “หาดใหญ่ท่วมหนักเพราะไร้ระบบ” สะบ้าย้อยถูกตัดขาด ส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศ 2 ราย – รอ ฮ.ช่วยหญิงตั้งครรภ์เสี่ยง 3–4 ราย ย้ำ ปัญหาเร่งด่วน คือ อาหาร น้ำ เรือ พื้นที่วิกฤต ต้องอพยพก่อน

วันนี้ (23 พ.ย. 68) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย และประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์ The Active ถึงสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ โดยระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ “หนักที่สุดครั้งหนึ่ง” ขณะที่โรงพยาบาลสะบ้าย้อย ถูกตัดเส้นทางเข้าออกทั้งหมด ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยต้องพึ่งพาเฮลิคอปเตอร์เป็นหลัก และยังคงมีผู้ป่วยเสี่ยงสูงที่รอการช่วยเหลืออยู่

เมื่อถามว่าการให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐก็เป็นผู้ประสบภัยเช่นกันหรือไม่ โดยเฉพาะในหาดใหญ่ นพ.สุภัทร บอกว่า ก็อาจจะส่วนหนึ่ง แต่คิดว่าเป็นเพราะไม่มีระบบที่แท้จริงในการรับมือมากกว่า หมายความว่า ตามหลักการบริหารสาธารณภัย หน่วยงานรัฐควรมีแผนเตรียมพร้อม วางโครงสร้างบูรณาการ และเมื่อเกิดเหตุให้ “ประกาศใช้งานทันที” แต่ครั้งนี้พบว่าปัญหาสำคัญหลายส่วน

  • การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐ “ยังไม่จริง”
  • การประเมินสถานการณ์ “ประเมินต่ำกว่าความเป็นจริงมาก”
  • การระดมทรัพยากรล่าช้าและกระจัดกระจาย
  • เรือช่วยเหลือมี “น้อยเกินไปอย่างชัดเจน”
  • ทีมกู้ภัยทางน้ำไม่เพียงพอและขาดความชำนาญในบางพื้นที่

นพ.สุภัทร ยกตัวอย่างว่า หากมีการประเมินความรุนแรงอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ควรมีการนำเรือจากหลายหน่วยงาน “เป็นร้อยลำ” เข้าพื้นที่ทันที รวมถึงเฮลิคอปเตอร์จากจังหวัดอื่น ไม่ใช่เพียงไม่กี่ลำที่มีอยู่ในพื้นที่สงขลา

จุดอพยพรอไม่ได้ – ถูกน้ำล้อม เข้าถึงลำบาก

นพ.สุภัทร ยังบอกว่า หลายพื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็นจุดอพยพ “ไม่เหมาะสม” เนื่องจากเมื่อระดับน้ำสูงขึ้น พื้นที่ถูกน้ำล้อม ไม่สามารถเข้าถึงทางรถยนต์ได้ ต้องพึ่งเรือทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนจำกัด ทำให้การขนส่งอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นทำได้อย่างทุลักทุเล

เขาเน้นว่า การประกาศอพยพเกิดขึ้นหลังจากน้ำท่วมสูงแล้ว ขณะเดียวกัน ไฟฟ้าดับ สัญญาณอินเทอร์เน็ตล่ม ทำให้ชาวบ้านจำนวนมาก “ไม่รู้ว่าจะอพยพไปที่ใด” และไม่สามารถติดต่อประสานงานได้

“จริง ๆ ภาครัฐควรบอกให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าเลยว่า ถ้าเกิดเหตุรุนแรง จุดอพยพอยู่ตรงไหน จะไปอย่างไร ใช้อะไรขนย้าย แต่ครั้งนี้ไม่มีใครรู้”

เจ้าหน้าที่ – อาสาสมัคร ช่วยเต็มที่ แต่ “ต่างคนต่างทำเพราะไม่มีระบบ”

เมื่อสอบถามว่าปัจจุบันรัฐบาลเริ่มขยับมาตรการหรือยัง หลังมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นพ.สุภัทร ระบุว่า แม้จะมีความพยายามช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน ทั้งอาสาสมัคร หน่วยกู้ภัย และกลุ่มจิตอาสา แต่ปัญหายังอยู่ที่ “การไม่มีระบบกลางเชื่อมโยง”

ขณะนี้มีชุมชนหลายแห่งที่ติดอยู่ในน้ำขอความช่วยเหลือ ขออาหาร ขอข้าวกล่อง โดยไม่รู้ว่าต้องประสานใคร “สุดท้ายโทรมาหาผม” ซึ่งเขาต้องกระจายต่อไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าชาวบ้านจะได้รับหรือไม่ 

ครอบครัวอพยพขึ้นชั้นสอง ไฟดับ–เน็ตล่ม ประสานงานยาก

สำหรับสถานการณ์ส่วนตัว นพ.สุภัทร กล่าวว่า บ้านของเขาในพื้นที่หาดใหญ่ถูกน้ำท่วมชั้นล่าง ทำให้แม่และน้องต้องอพยพขึ้นไปอยู่ชั้นสอง ซึ่งยังปลอดภัย อาหาร–น้ำยังเพียงพอ และคาดว่าระดับน้ำไม่น่าจะสูงไปถึงชั้นบน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่คือไฟฟ้าดับและสัญญาณอินเทอร์เน็ตล่ม ทำให้การสื่อสารไม่สามารถดำเนินได้ตามปกติ

ขณะที่ช่วงเวลาที่ให้สัมภาษณ์ นพ.สุภัทร ระบุว่าไม่ได้อยู่ในบ้าน เนื่องจากเข้าไปไม่ทันเพราะน้ำท่วม เขาจึงอยู่ในพื้นที่รอบนอกที่ยังเข้าถึงได้ และต้องคอยหาจุดชาร์จแบตเตอรี่จากค่ายทหารเพื่อให้สามารถประสานงานช่วยเหลือต่อเนื่อง

อุทกภัยรอบนี้สะท้อนช่องโหว่ระบบ “การจัดการภัยพิบัติ”

นพ.สุภัทร บอกว่าการช่วยเหลือที่ดูยากลำบากส่วนหนึ่งเป็น “ปัญหาเชิงระบบ” ที่ทำให้การจัดการภัยพิบัติในกรณีรุนแรงล่าช้า กระจัดกระจาย และไม่ตอบสนองความจำเป็นเร่งด่วนของประชาชน

หากรัฐมีการประเมินสถานการณ์ที่ดี วางระบบเตรียมพร้อมล่วงหน้า บูรณาการหน่วยงานอย่างแท้จริง และจัดสรรทรัพยากรทันทีเมื่อเห็นสัญญาณวิกฤต สถานการณ์ครั้งนี้ “จะไม่วิกฤตเท่าที่เป็นอยู่”

ขณะนี้การช่วยเหลือประชาชนที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมยังเป็นไปแบบ อาสาสมัครและกลไกฉุกเฉินแบบกระจัดกระจาย โดยไม่มี ศูนย์กลาง (Command System) ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนและความล่าช้าในการส่งอาหาร น้ำ และอพยพผู้ประสบภัย

“หลายชุมชนโทรมาขอข้าวกล่องเพราะติดอยู่ แต่ไม่รู้จะประสานกับใคร

แม้ผมจะช่วยประสาน แต่ก็ไม่รู้ว่าข้าวจะถึงมือทุกคนหรือไม่ หรือบางจุดอาจมีหลายเจ้าส่งซ้ำ บางจุดอาจไม่ได้รับอะไรเลย เพราะไม่มีระบบจัดการแบบเป็นลำดับขั้นตอน”

สำหรับความท้าทายเฉพาะหน้า คือ

  • ต้องจัดหา อาหาร น้ำ และเรือ สำหรับส่งไปยังประชาชนที่ติดอยู่ในบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นในพื้นที่ลุ่มต่ำ
  • การอพยพ ประชากรจำนวนมากไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เช่น เมืองที่มีประชากร 200,000–300,000 คน
  • ต้องโฟกัสการอพยพเฉพาะ พื้นที่วิกฤตจริง ๆ และ กลุ่มบ้านที่เสี่ยงต่อการสูญเสียสูง

นพ.สุภัทร อธิบายว่า หากมีกลไก Command System ที่ดี สามารถจัดระเบียบงานได้ เช่น การทำแผนผังและแผนที่ชุมชน แยกตามซอยหรือบ้านทีละจุด เพื่อให้สามารถ เก็บทุกครัวเรือนและติดตามสถานการณ์ได้อย่างเป็นระบบ

“แม้บางบ้านติดอยู่ชั้น 3 ชั้น 4 อาจต้องรอน้ำลด 3–5 วัน แต่เราจะมีข้อมูลครบว่าแต่ละบ้านมีคนอยู่เท่าไหร่ มีอาหารเพียงพอหรือไม่ และต้องส่งความช่วยเหลือแบบไหน”

ปัญหาอุปกรณ์และกำลังคน

  • การเข้าไปช่วยเหลือด้วยรถยนต์หลายครั้งทำไม่ได้ เพราะ เส้นทางน้ำท่วมสูง รถเข้าถึงไม่ได้
  • ต้องใช้ เรือหรือเฮลิคอปเตอร์ ในการเข้าถึงจุดวิกฤต
  • ผู้ช่วยเหลือทั้งคนขับเรือและอาสาสมัครเหน็ดเหนื่อย และต้องเผชิญความกดดันสูง

ข้อมูลที่แจ้งเหตุรวบรวมมาแล้วมากกว่า 3,000 ความต้องการความช่วยเหลือ แบ่งประเภท แบ่งพื้นที่ ส่งให้ทีมลงช่วยเหลือ ปัญหาคือรถเข้าไม่ถึง ไปแล้วน้ำลึกกว่าที่คาด ไปต่อไม่ได้ ติดต่อผู้ร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ได้ ต้องการเรือ แต่เรือมีน้อยมาก ทีมเรือที่มีก็ทำกันอ่อนล้ามาก และมักไม่มีรายการปิดเคสกลับมา

นพ.สุภัทร ชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องเป็นบทเรียน สำหรับการวางแผนระยะยาว

  • ต้องมี ศูนย์สั่งการกลาง 24 ชั่วโมง
  • จัดทำ แผนผังชุมชนและระบบติดตามผู้ติดอยู่ในพื้นที่
  • เตรียม ทรัพยากรและอุปกรณ์ เช่น เรือ รถกู้ภัย และอาหารสำรอง
  • สร้าง ความตระหนักล่วงหน้า เช่น บ้านทุกหลังในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมควรมีการเตรียมตัว

“เรารู้แล้วว่าปลายเดือนพฤศจิกายนทุกปีมีโอกาสน้ำท่วมใหญ่ แต่ระบบราชการและการประสานงานยังไม่พร้อมเชิงระบบจริง ๆ” นพ.สุภัทรกล่าว และเน้นว่า การเตรียมความพร้อมนี้ต้องดำเนินการทั้งระยะสั้นและระยะยาว หลังจากช่วยเหลือผู้ประสบภัยรอบนี้สำเร็จ

น้ำท่วมภาคใต้ซัดระบบสาธารณสุข ไฟดับ–เครื่องปั่นไฟเสีย เคสวิกฤตต้องอพยพด้วย ฮ.

นพ.สุภัทร ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท ยังกล่าวถึงระบบสาธารณสุขในพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ ว่า แม้โรงพยาบาลในหลายพื้นที่มีแผนรับมือกรณีฉุกเฉิน แต่ความรุนแรงของน้ำครั้งนี้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

“โดยหลักการ โรงพยาบาลต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองอยู่แล้ว แต่ปัญหาครั้งนี้คือ น้ำท่วมเครื่องปั่นไฟ ทำให้ไฟดับทันที ระบบโรงพยาบาลล่มเพราะทุกอย่างพึ่งพาไฟฟ้า”

โรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดสงขลา และเป็นจุดรับส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลรอบนอก ถูกกระทบหนัก เครื่องปั่นไฟไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่เดียวกัน เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ ก็เผชิญปัญหาเดียวกัน

สำหรับโรงพยาบาลสะบ้าย้อย นพ.สุภัทร ระบุว่า ช่วงเช้ามีผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลใหญ่ โดย “เมื่อเช้าส่งด้วยเฮลิคอปเตอร์ไป 2 คน” พร้อมระบุว่าปัจจุบันยัง “กำลังรอความช่วยเหลือ ถ้าได้ ฮ.มาจริง ก็จะส่งคนท้อง…ที่คลอดประมาณ 3–4 คน ที่คลอดแล้วจะมีความเสี่ยงสูง” ซึ่งถือเป็นกลุ่มต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

โดยไม่สามารถส่งผู้ป่วยไปหาดใหญ่ด้วยรถ เพราะเส้นทางถูกน้ำท่วมและขาดสะพาน ต้องส่งต่อข้ามจังหวัด เช่น ไปปัตตานี, ยะลา หรือ นครศรีธรรมราช เป็นไปได้ โดยระบบสาธารณสุขสามารถประสานงานระหว่างจังหวัดได้

ซึ่งเคสวิกฤตที่ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ ช่วงเช้าวันนี้มี 2 เคส คือผู้ป่วยอาการหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ และ ผู้ป่วยสโตรก (เส้นเลือดสมอง) ต้องการการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางอย่างเร่งด่วน โดยเฮลิคอปเตอร์ทหารถูกนำมาใช้เพื่อส่งต่อผู้ป่วยเหล่านี้ไปยังโรงพยาบาลศูนย์ที่พร้อมรับมือ

ภาพรวมระบบสาธารณสุข

  • โรงพยาบาลรอบนอกยังสามารถรันระบบได้ แต่ โรงพยาบาลหาดใหญ่ถือเป็นจุดวิกฤตที่สุด เพราะไฟดับ ระบบล่ม และอาจเกิดความสูญเสียได้หากไม่อพยพ
  • การอพยพผู้ป่วยนับพันคน ต้องพิจารณา กำลังเจ้าหน้าที่ ระบบอาหาร และความพร้อมของทีมแพทย์
  • หากไม่สามารถอพยพได้ ระบบจำเป็นต้อง ฟื้นฟูไฟฟ้าและเครื่องมือ เพื่อให้โรงพยาบาลยังสามารถให้บริการได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active