นักวิชาการย้ำ นโยบาย ‘Soft Power’ ต้องเริ่มจาก ‘Inclusive Society’ ครอบคลุมเปิดรับความหลากหลาย ไม่ติดหล่มความงาม หลังรัฐบาลทาบทาม ‘นาโอมิ แคมป์เบลล์’ ดันอุตสาหกรรมแฟชั่น เล็งส่งออกสาวอีสานสวยไร้มีดหมอเดินแคตวอล์ก
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 นางแบบระดับโลก นาโอมิ เอเลน แคมป์เบลล์ เข้าพบ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่นของประเทศ ตามแนวคิดของบอร์ด Soft Power เพื่อผลักดันเยาวชนไทย โดยเฉพาะสาวอีสานที่มีความสวยงาม ‘ตามธรรมชาติ’ ให้เข้าสู่วงการแฟชั่นระดับสากล

นาโอมิ แคมป์เบลล์ ถือเป็นหนึ่งในนางแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และมีประสบการณ์ในวงการแฟชั่นมายาวนาน โดยเธอได้รับเชิญมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ รวมถึงหารือแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันว่าเธอจะเข้ารับบทบาทเป็นพรีเซนเตอร์หรือทูตวัฒนธรรมของไทย แต่การมาเยือนของเธอครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับบุคลากรแฟชั่นระดับสากล
ทางด้านรัฐบาลไทยก็ย้ำนโยบายสนับสนุน Soft Power อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นและการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับเยาวชนที่มีศักยภาพ โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นว่า รัฐบาลพร้อมเปิดรับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์แฟชั่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
นาโอมิ ยังกล่าวถึงเสน่ห์ของแฟชั่นไทย และแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เครื่องสำอาง และเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูงของไทย เธอยังยืนยันว่าจะสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพื่อนำคนไทยที่มีศักยภาพเข้าสู่วงการแฟชั่นระดับโลกต่อไป
ย้อนไอเดียส่งออกสาวอีสาน ‘สวยใสไร้มีดหมอ’ ของอดีตนายกฯ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จัดประชุมร่วมกับ นาโอมิ แคมป์เบลล์ พร้อมด้วย จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาบุคลากรจากชนบทไทยให้ก้าวสู่เวทีโลก โดยเฉพาะการคัดเลือกนางแบบที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ผ่านการศัลยกรรม พร้อมจัดฝึกอบรมก่อนส่งเข้าร่วมงานระดับนานาชาติ
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคมปี 2567 ทักษิณ ยังเคยกล่าวถึงแนวคิดการส่งออกนางแบบสาวอีสานที่ไม่มีการทำศัลยกรรมในงานสัมมนา “ISAN NEXT พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก” เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเขาเปรียบเทียบกับกรณีของนางแบบแอฟริกันที่ก้าวสู่เวทีแฟชั่นโลก และระบุว่า ความงามของสาวอีสานที่เป็นธรรมชาตินั้นมีเสน่ห์และได้รับความนิยมในระดับสากล
“ทำไมฝรั่งชอบผู้หญิงอีสานเยอะแยะ? ความสวยของธรรมชาติ บ้างครั้งมันก็มีเสน่ห์ ถ้าเราจะประกวดคนอีสานที่ไม่มีการศัลยกรรมเลย แล้วไปฝึก ผ่านการประกวด เอาไปสอนเป็นนางแบบระดับโลกดีไหม ก็จะเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งให้กับคนอีสาน”
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างว่านางแบบจากภูมิภาคอีสานเคยประสบความสำเร็จในระดับโลกมาแล้ว โดยมีผู้ที่เคยเป็นนางแบบให้แบรนด์ดังอย่าง Chanel และสามารถสร้างรายได้มหาศาล เขาเสนอว่าหากรัฐบาลสนับสนุนโครงการนี้อย่างจริงจัง จะช่วยให้สาวอีสานมีโอกาสก้าวสู่เส้นทางแฟชั่นระดับโลกเช่นเดียวกับบราซิล ที่ผู้ชายสามารถสร้างรายได้จากการเป็นนักฟุตบอล และผู้หญิงมีโอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพนางแบบ
‘สาวอีสานบนแคตวอล์ก’
โอกาสหรือมาตรฐานความงามที่ซ้ำซาก?
ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการส่งเสริมอุตสาหกรรมแฟชั่นและการผลักดันสาวอีสานสู่แคตวอล์กระดับโลก ชเนตตีมองว่าหากนโยบายดังกล่าวสามารถขยายแนวคิดเรื่อง ‘Inclusive Beauty’ หรือความงามที่ครอบคลุมและเปิดรับความหลากหลายอย่างแท้จริง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และไม่ขัดแย้งกับขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีที่มีมายาวนาน อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงบางกลุ่มบางภูมิภาค แต่ควรสะท้อนความหลากหลายของความงามในสังคมไทยโดยรวม
ชเนตตี กล่าวว่าการส่งเสริมสาวอีสานเข้าสู่วงการแฟชั่นต้องไม่เป็นการกำหนดมาตรฐานความงามใหม่ที่ตายตัว หรือสร้างภาพเหมารวมแบบ Exotic ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของโลกตะวันตกมาตั้งแต่ยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งอาจนำไปสู่การผลิตซ้ำกรอบความงามแบบเดิมในมิติที่แตกต่างกัน สังคมไทยมีความหลากหลายทั้งในเชิงชาติพันธุ์ สีผิว และอัตลักษณ์ทางเพศ ดังนั้น การคัดเลือกเฉพาะผู้หญิงจากภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง อาจเป็นการลดทอนและไม่สะท้อนความหลากหลายของสังคมไทยโดยแท้จริง
นอกจากนี้ ชเนตตี ยังชี้ให้เห็นว่าความงามไม่ควรถูกกำหนดโดยภาครัฐหรืออุตสาหกรรมแฟชั่นเพียงฝ่ายเดียว เพราะจะนำไปสู่การสร้างอภิสิทธิ์ทางความงามและอาจทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่ได้ พร้อมเน้นย้ำว่าคนทุกกลุ่มควรมีตัวแทนในอุตสาหกรรมแฟชั่น และการมีพื้นที่ให้กับทุกความงาม จะช่วยสร้างความมั่นใจและการเคารพตนเองในสังคมได้อย่างแท้จริง
“ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่มีโอกาสเดินในแคตวอล์ค แต่ถ้ามีตัวแทนของความงามของคนทุกรูปแบบอยู่ในสายพานแฟชัน ก็จะย้อนกลับมาสร้างความรักและเคารพตัวเอง”
ชเนตตี ทินนาม
ในประเด็นการทำศัลยกรรม ชเนตตี มองว่าไม่ควรถูกมองว่าเป็นการทำลายความงามตามธรรมชาติ หรือทำให้บุคคลหนึ่งตกมาตรฐาน เพราะความงามมีมิติที่หลากหลาย และไม่ควรถูกแบ่งแยกระหว่างความงามตามธรรมชาติกับความงามที่เกิดจากกระบวนการปรับเปลี่ยนร่างกายโดยสมัครใจ การมองโลกแบบ Binary ที่แบ่งแยกสิ่งหนึ่งออกจากอีกสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจน อาจทำให้เกิดการกีดกันมากกว่าการสร้างความครอบคลุมอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด ชเนตตี เน้นว่าสังคมที่ครอบคลุม (Inclusive Society) ไม่ควรถูกจำกัดเพียงในมิติอุตสาหกรรมแฟชั่นเท่านั้น แต่ควรเป็นแนวคิดที่ถูกนำไปใช้ในทุกมิติของเศรษฐกิจและสังคม Soft Power ของไทยควรได้รับการกระจายประโยชน์ไปสู่ทุกกลุ่มคน ไม่ใช่เพียงคนบางกลุ่มที่ได้เปรียบทางโครงสร้างอำนาจ พร้อมเตือนว่าหากนโยบายนี้ไม่ถูกพัฒนาอย่างรอบด้าน อาจทำให้เกิดการกระจุกตัวของโอกาสในอุตสาหกรรมแฟชั่นเช่นเดิม และละเลยเสียงของผู้คนที่อยู่ชายขอบของสังคม ‘อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ก็ต่อเมื่อสามารถนับรวมเสียงที่หลากหลายและสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียม‘