กมธ.พัฒนาการเมืองฯ สว. ฝากถึง ‘นายกฯ อนุทิน’ คิดให้ดี ดัน ‘แลนด์บริดจ์’

มองข้อตกลง MOA อายุรัฐบาลสั้นแค่ 4 เดือน ยังไม่ใช่เวลาเดินหน้า ‘แลนด์บริดจ์’ ย้ำ โครงการมีผลกระทบระยะยาว ต้องผ่าน ‘ฉันทามติ’ จากประชาชนด้วย มอง การรับฟังความเห็นยังขาดการมีส่วนร่วม เสียงประชาชนไม่ถูกสะท้อน

วันนี้ (13 ก.ย. 68) คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ลงพื้นที่ในบริเวณที่คาดว่าจะก่อสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึกแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร ร่วมสังเกตการณ์และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับ นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (พ.ร.บ. SEC) และ โครงการแลนด์บริดจ์ ในพื้นที่ จ.ระนอง-ชุมพร โดยมีตัวแทนชาวบ้านในพื้นที่และภาคประชาสังคม ร่วมสื่อสารประเด็นการคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ หลังจากภาคประชาชนเข้ายื่นหนังสือให้ตรวจสอบโครงการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โครงการ

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ เปิดเผยกับ The Active ระบุว่า หลังจากประชาชนเข้าร้องเรียนให้ตรวจสอบโครงการแลนด์บริดจ์ พบว่า มีปัญหาในแง่ของการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีความหมาย เพราะมีความพยายามผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้น แต่เสียงจากประชาชนในพื้นที่เห็นว่า การลงมารับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงการทำตามกระบวนการเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรับฟังอย่างมีความหมาย กล่าวคือ เสียงของประชาชนไม่ได้ส่งผลต่อโครงการ

ก่อนหน้านี้ กมธ. เคยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงแล้ว ทำให้ทราบว่า รายงาน EHIA มีปัญหาเรื่องกระบวนการและเนื้อหา ในส่วนของกระบวนการ คือ การรับฟังความคิดเห็นของชุมชนที่เกี่ยวข้องในรัศมี 5 กิโลเมตร อาจจะไม่เพียงพอ เพราะผลกระทบอาจจะมากกว่านั้น รวมถึงการทำรายงานที่แยกโครงการออกเป็น 4 โครงการใหญ่ และไม่ได้ทำการประเมินผลกระทบในภาพรวม ซึ่งผลกระทบอาจจะมีความรุนแรงกว่าการประเมินแยกตามโครงการได้ เพราะจะไม่เห็นภาพรวมของผลกระทบ จึงได้นำคณะ กมธ. และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องมาลงพื้นที่เพื่อให้เห็นพื้นที่จริง หากต้องสร้างท่าเรือน้ำลึก และฟังเสียงของชาวบ้านในพื้นที่ที่อาจจะไปไม่ถึงผู้มีอำนาจ โดยจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ไปจัดทำเป็นรายงานเพื่อเสนอต่อรัฐบาลต่อไป

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา

นรเศรษฐ์ ยังบอกว่า จากการรับฟัง ชาวบ้านมีความกังวลเรื่องผลกระทบของโครงการ นอกจากสิ่งแวดล้อม ก็จะกระทบกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน การทำงานอาชีพ เช่น การเกษตร ประมง และความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามผลักดันอยู่ เป็นการผลักดันที่เขาไม่มีส่วนร่วมในการพัฒนา

“คือชาวบ้านพยายามสื่อสารว่า เขาไม่ได้กลัวความเจริญที่จะเข้ามา ไม่ได้กลัวการเปลี่ยนแปลง แต่เขาควรจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย รัฐบาลควรมีข้อเสนอที่ให้ชาวบ้านพัฒนาไปพร้อมกับโครงการ ไม่ใช่ผลักดันโครงการเข้ามาแล้ว ชาวบ้านได้รับผลกระทบแล้วแค่เอาเงินมาเยียวยา เขาไม่ได้ต้องการตรงนั้น”

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร

ชี้ ‘รัฐบาลอนุทิน’ อายุสั้นแค่ 4 เดือน ไม่ใช่เวลาดันโครงการใหญ่

นรเศรษฐ์ ยังเสนอว่า โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบระยะยาว มีงบประมาณมหาศาล ควรจะต้องเป็นโครงการที่ได้รับฉันทามติจากประชาชนทั้งประเทศ หาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต้องการจะผลักดัน ก็ควรนำนโยบายไปหาเสียง แล้วหากได้รับเลือกตั้งเข้ามาค่อยผลักดันนโยบาย เนื่องจากมองว่าช่วงระยะเวลา 4 เดือนของรัฐบาลนี้ ตามที่ได้ทำ MOA เอาไว้ ถือว่าเร็วเกินไปที่จะผลักดันนโยบายนี้อย่างเต็มตัว

ในส่วนของรัฐบาล นายกฯ อนุทิน หากจะผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าอาจต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น เพราะโครงการนี้เป็นโครงการระยะยาว มีผลกระทบระยะยาว แค่ระยะเวลาในการก่อสร้างก็ 10 ปีแล้ว ซึ่งเป็นผลผูกพันกับงบฯ จำนวนมหาศาล และถ้าเป็นรัฐบาลของ นายกฯ อนุทิน ที่มี MOA ว่าจะอยู่แค่ 4 เดือน ผมคิดว่าการผลักดันในเวลานี้อาจยังไม่เหมาะสม และนโยบายนี้ควรเป็นฉันทามติของประชาชนทั้งประเทศ เพราะทรัพยากรทางทะเลภาคใต้ก็ไม่ใช่ทรัพยากรของคนใต้เท่านั้น แต่เป็นทรัพยากรของคนทั้งประเทศ”

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร

ประธาน กมธ. พัฒนาการเมืองฯ สว. ยังย้ำด้วยว่า จุดบกพร่องในการรายงานผลกระทบโครงการ ทุกคนน่าจะมองเห็นได้ชัดว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนมีน้อยมาก รวมถึงการที่มีหน่วยงานลงมารับฟังความเห็น เป็นการทำไปตามข้อกฎระเบียบ แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปสะท้อนความต้องการของประชาชนเกี่ยวกับโครงการ อยากให้ทุกภาคส่วนช่วยกัน โดยเฉพาะประชาชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ช่วยกันส่งเสียงดัง ๆ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และทรัพยากรทางทะเลของไทยไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ใช่แค่ของคนรุ่นเรา แต่เป็นของรุ่นลูกรุ่นหลานเราด้วย

“ที่พาคณะกรรมาธิการฯ ลงพื้นที่ เพราะอยากให้เห็นสภาพทะเลใน จ.ชุมพร ระนอง ให้จินตนาการว่า ถ้าอนาคตมันจะกลายเป็นท่าเรืออย่างมาบตาพุด คิดว่าควรต้องทำการศึกษาอย่างละเอียดกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ รวมถึงชุมชนที่มีวิถีชีวิตแบบนี้ จะถูกยัดเยียดวิถีชีวิตใหม่เข้ามา โดยที่ไม่ได้รับฟัง ไม่ได้ร่วมพัฒนาไปด้วยกัน ไม่มีความเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่หรือไม่ จึงอยากให้ กมธ. และผู้เชี่ยวชาญลงมาได้เห็น”

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร

จากคนเคยหนุน เป็นเสียงคัดค้าน ความหวังชาวบ้าน หยุด ‘แลนด์บริดจ์’

ขณะที่ วันเพ็ญ เพชรแดง ชาวบ้าน ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร ยอมรับว่ากับ The Active ว่า ในตอนแรกที่ทราบเรื่องการจะมีโครงการแลนด์บริดจ์ ในปี 2567 มองว่าน่าจะเป็นโครงการที่ดี น่าจะทำให้พื้นที่เจริญขึ้น แต่เมื่อได้ศึกษาข้อมูลแล้ว พบว่า โครงการมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เช่น มีการถมทะเลจำนวนมาก ทำให้อาชีพของชาวบ้านอย่างน้อย 3 อาชีพต้องหมดไป คือ การทำประมง การเกษตร การท่องเที่ยว หลังจากมีข่าวเรื่องโครงการนี้ จากเดิมที่จะมีคนอยากปลูกบ้านพักอาศัยก็หายไปหมด คือไม่มีใครอยากอาศัยอยู่ เพราะรู้ถึงผลที่จะตามมา

วันเพ็ญ เพชรแดง ชาวบ้าน ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร

วันเพ็ญ ยังบอกว่า เธอมีที่ดินแปลงเดียวอยู่ที่บริเวณภูเขาที่จะมีเส้นทางแลนด์บริดจ์ผ่าน ซึ่งปัจจุบันเป็นสวนทุเรียน เป็นที่ทำกินแปลงเดียว ที่ตัดสินใจลาออกจากงานในกรุงเทพฯ มาเพื่อปักหลักทำกินตรงนี้เลี้ยงครอบครัว หากท้ายที่สุดโครงการเดินหน้าต่อ ที่ตรงนี้หายไปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว

โดยที่ผ่านมาได้เข้าร่วมทุกเวทีรับฟังความเห็น พบว่ามีการบิดเบือน ปกปิดข้อมูล เช่น กรณีนิคมอุตสาหกรรมที่ตอนแรกไม่ได้บอก แต่พบการเปิดตัวภายหลัง อย่างในรายงาน EHIA ข้อมูลที่ระบุว่า มีปลาเพียงเล็กน้อย เธอบอกว่าอยู่ติดทะเลมาตั้งแต่เกิด ยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง และที่แหลมริ่วมีปลาที่พอจะส่งไปหล่อเลี้ยงคนในกรุงเทพฯ ได้ ทั้งปลาหมึก กุ้ง ปู ปลาทู ผิดไปจากข้อมูลที่เขาให้ทั้งหมดเลย ทั้งยังเป็นจุดที่ปลาทูฝั่งอ่าวไทยจะมาวางไข่อีกด้วย

ส่วนชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เห็นด้วย มองว่ามาจากการรับข้อมูลจากผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมไม่มีผู้นำชุมชนคนไหนคัดค้านโครงการนี้

เมื่อถามว่าตั้งความหวังการลงพื้นที่ของ กมธ. ครั้งนี้แค่ไหน ? วันเพ็ญ ยอมรับว่า หากเป็นกลุ่ม กมธ. ของนายกฯ คิดว่าคงไม่หวัง ถ้าไม่ใช่ เขาคงเห็นใจชาวบ้าน และข้อเท็จจริงตรงนี้ว่าสมควรมีแลนด์บริดจ์หรือไม่ ก็น่าจะมีโอกาสที่จะดีขึ้น จึงอยากให้นายกฯ ลงมาดูพื้นที่จริง ๆ มาฟังเวทีชาวบ้านก่อนตัดสินใจ เพราะถ้ามีแลนด์บริดจ์ ชาวบ้านจะยากจนและลำบากมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับ วัฒนา ศรีอรุณ อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร ที่มาร่วมคัดค้านกับชาวบ้าน บอกว่า เขาเคยเห็นด้วยกับโครงการแลนด์บริดจ์ เนื่องจากเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่สนับสนุนอดีตนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทำให้นักการเมืองท้องถิ่นส่วนใหญ่ในจังหวัดชุมพรเห็นด้วยกับโครงการนี้ เพื่ออยากให้อำเภอหลังสวนได้รับการพัฒนา

จุดที่ทำให้เปลี่ยนความคิด คือ หลังได้รับข้อมูลว่าโครงการแลนด์บริดจ์เป็นส่วนหนึ่งในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาเช่าพื้นที่ 50 ปี และต่อได้อีก 49 ปี รวมเป็น 99 ปี

วัฒนา ศรีอรุณ อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร

“เท่ากับที่อังกฤษยึดฮ่องกง แต่อังกฤษยึดฮ่องกงเพราะจีนแพ้สงคราม แต่ประเทศไทยไม่ได้แพ้สงครามเลย จึงไม่มีเหตุผลที่จะยกแผ่นดินไปให้ต่างชาติเช่า 99 ปี ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผมใส่ใจและกลับลำ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าข้อมูลด้านนี้ยังมีไม่มาก”

วัฒนา ศรีอรุณ

อีกเรื่องหนึ่งคือผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมง และทุกคนทราบดีว่า ทะเลอ่าวไทยจังหวัดชุมพรเป็นที่ปลาทูวางไข่ ซึ่งกรมประมงประกาศปิดอ่าวทุกปี 3 เดือนเพื่อให้ปลาทูลงมาวางไข่ หากวันหนึ่งที่นี่มีการถมทะเล จะมีผลกระทบต่อปลาทูไม่เพียงเฉพาะจังหวัดชุมพร แต่กระทบทั้งอ่าวไทย โดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน

ส่วนแนวคิดที่บอกว่าจะทำให้ชาวอำเภอหลังสวนมีงานทำ มองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากฎหมาย SEC จะยกเว้นทุกอย่างเพื่อให้เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างเดียว แรงงานต่างชาติเข้าออกได้เสรี ที่ดิน ส.ป.ก. ก็จะเอามาทำเศรษฐกิจพิเศษได้หมด

“ถ้าคนหลังสวนคิดว่ามีแลนด์บริดจ์แล้วลูกหลานจะมีงานทำ ยากครับ น่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติมากกว่า เพราะค่าแรงถูก”

วัฒนา ศรีอรุณ

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะกมธ. ได้เดินทางไปพื้นที่ ต.ราชกรูด อ.เมืองระนอง จ.ระนอง เพื่อพบปะและรับฟังความเห็นจากประชาชน จากการรับฟังความคิดเห็น พบว่า นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติ และป่าชายเลน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เช่น ชาวประมงพื้นบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งส่งผลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน

สำหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ กรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ประกอบด้วย

  • นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานกรรมาธิการฯ
  • รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง รองประธานกรรมาธิการฯ คนที่ 2
  • แดง กองมา รองประธานกรรมาธิการฯ คนที่ 3
  • มณีรัฐ เขมะวงค์ รองประธานกรรมาธิการฯ คนที่ 4
  • สมศรี อุรามา รองเลขานุการกรรมาธิการฯ
  • พรชัย วิทยเลิศพันธุ์ รองเลขานุการกรรมาธิการฯ
  • เทวฤทธิ์ มณีฉาย โฆษกกรรมาธิการฯ
  • นิพนธ์ เอกวานิช ประธานที่ปรึกษากรรมาธิการฯ
  • กัลยา ใหญ่ประสาน กรรมาธิการฯ
  • วีรยุทธ สร้อยทอง กรรมาธิการฯ
  • สุนทร พฤกษพิพัฒน์ กรรมาธิการฯ

พร้อมด้วยที่ปรึกษา เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ

ขณะเดียวกันในวันอาทิตย์ ที่ 14 ก.ย. 68 กมธ. มีกำหนดการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอต่อสถานการณ์ ปัญหาและข้อห่วงกังวลต่อนโยบายการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภายใต้ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (พ.ร.บ.SEC) และโครงการแลนด์บริดจ์ ณ คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active