จี้ ชะลอ ‘แลนด์บริดจ์’ – เดินหน้าประเมิน SEA รอบด้านก่อนตัดสินใจ

‘กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา’ ผุด ข้อเสนอเบื้องต้น หลังลงพื้นที่ ระนอง-ชุมพร-สุราษฎร์ฯ แนะ รัฐบาล ชะลอโครงการ จนกว่าการศึกษา รับฟังความเห็นจะทำได้รอบด้าน พร้อมให้ สภาพัฒน์ ประเมินระดับยุทธศาสตร์ ย้ำ ชาวบ้านไม่ต้องการความเจริญแบบยัดเยียด แต่ต้องการการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

วันนี้ (15 ก.ย. 68) ที่อาคารรัฐสภา นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงภายหลังลงพื้นที่จังหวัดระนอง ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 12 – 14 ก.ย. ที่ผ่านมา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและภาคประชาสังคมเกี่ยวกับ โครงการแลนด์บริดจ์ และร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. …. หรือ ร่าง พ.ร.บ.SEC ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจฐานราก และวิธีชีวิตชุมชน

โดยสรุปประเด็นและข้อห่วงกังวลที่ได้รับจากการลงพื้นที่ พบว่า มีประเด็นเกี่ยวกับโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร (แหลมริ้ว) – ระนอง (อ่าวอ่าง) โดยเฉพาะกระบวนการศึกษา EHIA ที่ขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน แม้โครงการจะเริ่มศึกษาตั้งแต่ปี 2557 และสรุปเส้นทางในปี 2560 แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน แม้จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกลับไม่ได้เข้าร่วม อีกทั้งการประเมินผลกระทบถูกแยกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ท่าเรือ, ทางหลวง และรถไฟ โดยไม่มีการประเมินภาพรวม ทำให้ไม่สะท้อนผลกระทบที่แท้จริง รายงาน EHIA ยังมีข้อบกพร่อง เช่น ข้อมูลไม่ตรงกับรายงานเดิม ขอบเขตการศึกษาแคบเพียง 5 กิโลเมตร ไม่ครอบคลุมผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา

นอกจากนี้ ยังไม่มีการพิจารณารอยเลื่อนเปลือกโลกในพื้นที่ และมีการเร่งรัดจัดทำรายงานภายใน 120 วันตามกฎหมาย SEC ซึ่งเสี่ยงต่อความผิดพลาด พื้นที่ท่าเรือยังทับซ้อนกับเขตชีวมณฑลและพื้นที่ที่เสนอเป็นมรดกโลก หากมีการก่อสร้างอาจส่งผลให้สูญเสียคุณค่าทางธรรมชาติอย่างถาวร อีกทั้งกรมชลประทานมีแผนสร้างเขื่อน 9 – 13 แห่ง เพื่อป้อนน้ำให้โครงการ ซึ่งอาจทำให้ชุมชนต้องแย่งชิงน้ำใช้ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชน โดยเฉพาะชาวมอแกนและคนไทยพลัดถิ่นที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ อาจถูกย้ายถิ่นฐานโดยไม่มีที่อยู่อาศัยรองรับ ขณะที่ รายงานเศรษฐกิจยังประเมินมูลค่าชาวประมงต่ำกว่าความเป็นจริง จาก 30,000 บาทต่อครัวเรือน เหลือเพียง 10,000 บาท

สำหรับร่าง พ.ร.บ.SEC มีลักษณะคล้ายกฎหมาย EEC ที่เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน โดยเปิดช่องให้คณะกรรมการสามารถงดเว้นหรือออกกฎหมายใหม่ได้ ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิดรัฐธรรมนูญและกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่พะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทุเรียน มังคุด และกาแฟมูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท อาจได้รับความเสียหายจากการใช้ทรัพยากรน้ำจำนวนมาก เนื่องจากร่าง พ.ร.บ. SEC น้ำจะถือเป็นทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งอาจจำกัดสิทธิการใช้น้ำของประชาชน อีกทั้งยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเวทีรับฟังความคิดเห็นไม่เปิดกว้างต่อผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับข้อมูลที่เพียงพอและไม่เข้าใจสาระสำคัญของกฎหมาย

ขอชะลอ ‘แลนด์บริดจ์’ – เดินหน้าศึกษา SEA รอบด้านก่อนตัดสินใจ

กรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอเบื้องต้น (ซึ่งยังไม่ใช่ข้อสรุปในรายงาน) โดย ขอให้ชะลอการดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์และการผลักดันร่าง พ.ร.บ. SEC จนกว่าจะมีการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน พร้อมเสนอให้มีการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือหน่วยงานกลางเป็นผู้ดำเนินการก่อนตัดสินใจ เพื่อประเมินผลกระทบเชิงพื้นที่และเชื่อมโยงโครงการทั้งหมด อีกทั้งยังต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และสนับสนุนเกษตรกรรมยั่งยืน การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และโครงการที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตท้องถิ่น

นอกจากนี้ ชาวบ้านไม่ต้องการความเจริญที่ยัดเยียดเข้ามาแบบผิดฝาผิดตัว แต่ต้องการการพัฒนาที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง รัฐบาลจำเป็นต้องรับฟังเสียงของประชาชน คำนึงถึงเศรษฐกิจฐานราก วิถีชีวิตดั้งเดิม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้โครงการขนาดใหญ่มีความชอบธรรมและยั่งยืน

“รัฐบาลไม่ควรเร่งรัดผลักดันโครงการในขณะที่รายงานความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจยังเป็นข้อสงสัย และรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมก็ยังมีปัญหาอย่างมาก เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่นี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีงบประมาณผูกพันสูง จึงควรให้รัฐบาลที่ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงชั่วคราวเป็นผู้ตัดสินใจ และควรเป็นรัฐบาลที่ใช้นโยบายนี้ในการหาเสียงและได้รับฉันทามติจากประชาชน”

นรเศรษฐ์ ปรัชญากร

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active