วิกฤตทักษะแรงงานไทย แก้ด้วย ‘คนละครึ่งพลัส’ ไม่พอ

‘พริษฐ์’ เสนอรัฐ จ้างคนไปเรียน ย้ำ ยกระดับทักษะเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจ และโจทย์ใหญ่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 68 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มีมติเห็นชอบโครงการ คนละครึ่งพลัส เฟส 1.5 โดยเตรียมเติมเงินสูงสุด 2,000 บาท ให้ร้านค้า 400,000 ราย ที่เข้าร่วมการฝึกอบรมหรือพัฒนาทักษะ (Upskill–Reskill) ผ่านช่องทางที่รัฐบาลกำหนด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการเฟส 2 อยู่ระหว่างการออกแบบระบบและแนวทางจัดสรรสิทธิ์ โดยผู้เข้าร่วมเฟสแรกมีแนวโน้มจะได้รับสิทธิต่อเนื่องในรอบใหม่

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างผู้ที่เคยได้รับสิทธิกับผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วม โดยเบื้องต้นมีแนวคิดว่า ผู้ที่เข้าร่วม คนละครึ่งพลัส เฟสแรก และใช้สิทธิครบ 2,000 บาทแล้ว จะสามารถเข้าร่วมต่อในเฟส 2 ได้
ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมเฟสแรก จะสามารถลงทะเบียนใหม่ในเฟส 2 และได้รับวงเงิน 4,000 บาท เพื่อให้มียอดสิทธิเท่ากันกับผู้ที่ร่วมในเฟสก่อน

ด้าน พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน ระบุถึงมติดังกล่าวว่า แม้แนวคิดจ้างคนไปเรียน หรือฝึกทักษะ จะเป็นทิศทางที่น่าสนับสนุน แต่ปัญหาทักษะของแรงงานไทยใหญ่เกินกว่าที่มาตรการเสริมของคนละครึ่งพลัสจะรับมือได้

ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตด้านทักษะอย่างรุนแรง โดยอ้างอิงรายงานของธนาคารโลกร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า 74% ของเยาวชนและคนวัยทำงานมีทักษะดิจิทัลต่ำกว่าเกณฑ์พื้นฐาน และ 65% มีทักษะการรู้หนังสือต่ำกว่าเกณฑ์ เช่น ไม่สามารถค้นหาข้อมูลสินค้าออนไลน์หรืออ่านฉลากยาได้ถูกต้อง

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคประชาชน

ในสังคมที่มีงานไม่มั่นคง แรงงานจำนวนมากต้องทนทำงานที่ไม่มีคุณค่า เพราะขาดทักษะที่ตลาดต้องการ และไม่สามารถสละเวลาไปเรียนรู้เพิ่มเติมได้ เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายและรายได้ที่หดหายหากต้องหยุดทำงาน

ยกระดับทักษะคนไทย ต้องเป็นนโยบายพรรคการเมือง-รัฐบาล หลังเลือกตั้ง

ฉะนั้น แนวคิดเรื่องการจ้างคนไปเรียนเป็นแนวทางที่ พริษฐ์ เห็นว่า ทุกพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดต่อไปหลังจากการเลือกตั้ง ควรพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อออกแบบนโยบายในการยกระดับทักษะคนไทย

ทั้งยังมองว่าโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1.5 อาจถือเป็นก้าวแรกของแนวคิดดังกล่าว แต่ยังมีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งระยะเวลา งบประมาณ และการจำกัดหลักสูตรให้เลือกเรียนเฉพาะในแพลตฟอร์มของธนาคารออมสินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความหลากหลายของผู้เรียน นอกจากนี้ แนวทางการติดตามผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการฝึกอบรมยังไม่ชัดเจน ทำให้ยากจะคาดหวังว่ามาตรการนี้จะนำไปสู่การยกระดับทักษะในวงกว้างได้จริง

พริษฐ์ จึงเสนอให้รัฐบาลชุดต่อไปลงทุนเชิงนโยบายในแนวคิดจ้างคนไปเรียนอย่างจริงจัง โดยยกตัวอย่างโครงการ Kartu Prakerja ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นนโยบายที่มุ่งยกระดับทักษะแรงงานผ่านการเชื่อมโยงระหว่างแรงงาน ผู้สอน และนายจ้างบนแพลตฟอร์มเดียวกัน โดยรัฐทำหน้าที่เป็นผู้ประสานและวางมาตรฐานให้ระบบทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้จัดการสอนเอง แต่เปิดให้ภาคเอกชนที่มีแพลตฟอร์มการเรียนรู้อยู่แล้วเข้ามาร่วมผลิตหลักสูตรตามความต้องการของตลาดแรงงาน

หลังดำเนินโครงการ 3 ปี พบว่า สมรรถนะของแรงงานเพิ่มขึ้นจริง ผู้มีงานอยู่แล้วมีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้น 10% ส่วนผู้ว่างงานที่เข้าร่วมและได้งานใหม่มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% ขณะเดียวกัน 27% ของผู้เรียนที่ตกงานสามารถหางานได้สำเร็จ และมีแนวโน้มได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จคือการออกแบบระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ครบวงจร ตั้งแต่การกำหนดมาตรฐานความรู้ การคัดเลือกผู้สอนและผู้เรียนอย่างเหมาะสม ไปจนถึงการสนับสนุนเงินทั้งในรูปแบบคูปองค่าเรียนและเงินอุดหนุนหลังเรียนจบเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสีย

โครงการดังกล่าวแบ่งเงินอุดหนุนออกเป็น 2 ส่วน คือ คูปองค่าเรียน สำหรับเลือกคอร์สกว่า 6,900 หลักสูตร และ เงินสดหลังเรียนจบ เพื่อชดเชยค่าเสียโอกาสจากการเรียน ซึ่งในช่วงแรก รัฐบาลให้เงินสดส่วนหลังในสัดส่วนสูงถึง 70% เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าร่วม ภายหลังเมื่อเห็นผลว่าผู้เรียนมีรายได้สูงขึ้นจริง รัฐบาลอินโดนีเซียจึงปรับสัดส่วนงบประมาณมาเน้นค่าเรียนมากขึ้น เพื่อขยายโอกาสให้คนเข้าร่วมได้มากกว่าเดิม

“โจทย์เรื่องการยกระดับทักษะเป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศ
และควรเป็นโจทย์ใหญ่ของการเลือกตั้งที่จะมาถึง”

พริษฐ์ วัชรสินธุ

พร้อมทิ้งท้ายว่า แม้มาตรการ Upskill – Reskill ของคนละครึ่งพลัสอาจเป็นเพียงการทดลองแนวคิดจ้างคนไปเรียน แต่หากต้องการแก้วิกฤตทักษะอย่างแท้จริง รัฐต้องลงทุนขนาดใหญ่ในนโยบายที่เน้นทั้งปริมาณและวิธีการใหม่ ๆ ในการพัฒนาคนไทย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active