ทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงต่อเนื่อง ตลอดทั้งปีปรับขึ้นมาราว 55% ขณะที่ไทยปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับเกินกว่า 67,000 บาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากปัจจัยการปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ และอีกหลายปัจจัย
15 พ.ย. 68 ทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงต่อเนื่อง ตลอดทั้งปีปรับขึ้นมาราว 55% ขณะที่ไทยปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับเกินกว่า 67,000 บาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากปัจจัยการปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ และอีกหลายปัจจัย 15 พ.ย.68 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทองคำราคาสูงขึ้นต่อเนื่องทุบสถิติประวัติศาสตร์ สร้างความฮือฮาให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะคนไทย ที่เริ่มมาสนใจลงทุนทองคำกันมากขึ้น แล้วรู้หรือไม่ ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อการ ขึ้น-ลง ของราคาทองคำ
ในปี 68 ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติศาสต์ หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 15 พ.ย. ราคาปรับขึ้นมาราว 55% ท่ามกลางแรงหนุนจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องการปรับขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ที่สร้างความกังวลให้เกิดสงครามการค้า จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศไทยปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับเกินกว่า 67,000 บาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

ช่วงที่ผ่านมาการซื้อขายทองคำของคนไทยมีความคึกคักอย่างมากในหลายพื้นที่ จากราคาทองที่ปรับสูงขึ้นแรง สะท้อนได้จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ไทยมีการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ รวม 9 เดือนแรกของปี 68 ปริมาณ 207,937 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 41.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 13,803 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยตามคำนิยามของนักลงทุน เพราะมีความเสี่ยงต่ำมากในช่วงที่โลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตหรือผันผวนสูง อีกทั้งทองคำในอดีตมักถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ อย่างแพร่หลายทั่วโลก และไม่ผูกติดกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ปัจจุบันหลายประเทศก็ยังคงเลือกเก็บสะสมทองคำและใช้เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศด้วย
ทว่าทองคำถือว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดหนึ่งที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ทั่วโลก ราคาจึงขึ้นอยู่กับกลไกความต้องการของตลาดโลกเช่นเดียวกันกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ แล้วปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อทิศทางราคาทองคำ ดังนี้
1. นโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่สุดในโลก และมีการลงทุนจากต่างประเทศที่สุดในโลก การที่ FED มีการปรับอัตราดอกเบี้ย ในแต่ละครั้ง จะเป็นสิ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แข็งแรงขึ้นหรือแย่ลง ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ มักจะมีการเคลื่อนไหวสวนทางกับทิศทางราคาทองคํา เพราะหากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจที่ดี ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น และทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น นักลงทุนจะลดการถือครองทองคําลง และส่งผลให้ ราคาทองคําลงลดในที่สุด
2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเสมือนค่าเงินกลางในระบบการเงินและการค้าต่าง ๆ ทั่วโลก ดังนั้นหากเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ และกองทุนต่าง ๆ ที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะลดการถือครองเงินดอลลาร์ โดยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในทองคํา ทำให้ราคาทองคําปรับตัวสูงขึ้น
3. ราคาน้ำมันดิบ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะส่งให้อัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวสูงขึ้นตามมา ทำให้นักลงทุนต้องลดการถือเงินสด เพื่อหาอัตราผลตอบแทนที่สามารถชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงมีการโยกย้ายเงินทุนไปลงทุนในทองคํามากขึ้น ราคาทองคําจึงปรับตัวสูงตามมา
4. การเพิ่มขึ้นของแหล่งทองคํา หรือจำนวนที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของเหมืองทองคํา เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาโดยตรง เนื่องจากหากมีการสํารวจพบแหล่งทองคําและสามารถเปิดเหมืองทองคําได้ จะทำให้ทองคําถูกผลิตและเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคําลดลง
5. ความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์และชิ้นส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากทองคําบริสุทธิ์เป็นโลหะที่มีความไวต่อปฏิกิริยาทางเคมีต่ำ สามารถทนทานต่อการขึ้นสนิม แผ่รังสีได้ดี และมีคุณสมบัติในการสะท้อนรังสีอินฟราเรดได้ดี ทองคําจึงเป็นที่นิยมในการนํามาเป็นวัตถุดิบผลิตเครื่องมือทางการแพทย์และชิ้นส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นเมื่อความต้องการใช้เครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ราคาทองคําจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน
6. ความต้องการในเครื่องประดับ โดยทองคําถือเป็นเครื่องประดับที่เป็นที่นิยมสำหรับประเทศในตะวันออกกลางและประเทศในเอเชียมาอย่างยาวนาน หากความต้องการในเครื่องประดับทองคําสูงขึ้น เช่น ในช่วงเทศกาล หรือโอกาสสำคัญของประเทศดังกล่าว ซึ่งหากทองคําในฐานะเครื่องประดับมีความต้องการสูงขึ้น ราคาทองคําก็จะมีการปรับตัวสูงขึ้นตามได้เช่นกัน
7. ความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศ หากเกิดภาวะความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ราคาทองคํามักจะมีการตอบสนองในทิศทางบวกค่อนข้างแรง เนื่องจากนักลงทุนต่างเกิดความไม่แน่นอนในสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะสงคราม จึงทำให้มีการขายสินทรัพย์เสี่ยงและโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคํา จึงทำให้ในสภาวะดังกล่าวทองคํามักมีแนวโน้มในการปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้นสามารถสรุปปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยที่มีการเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันและปัจจัยที่มีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกันได้ดังนี้
ปัจจัยที่ความสัมพันธ์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
- ราคาน้ำมันดิบ
- อัตราเงินเฟ้อ
- ความต้องการในการใช้เครื่องมือทางการแพทย์และชิ้นส่วนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
- ความต้องการในเครื่องประดับ
- ความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศ (สภาวะเสี่ยงสงคราม)
ปัจจัยที่ความสัมพันธ์เคลื่อนไหวสวนทางกัน
- นโยบายด้านอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
- การเพิ่มขึ้นของแหล่งทองคํา
อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของทิศทางราคาทองคํา โดยจะเห็นได้ว่ามีปัจจัยจำนวนมากที่ส่งผลกระทบกับราคาทองคําได้ และเกือบทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยนอกประเทศทั้งสิ้น ดังนั้นหากคิดจะลงทุนในทองคําก็ควรนําปัจจัยต่าง ๆ มาพิจาณาประกอบกัน เนื่องจากการใช้เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ อาจส่งผลให้การคาดการณ์ความเคลื่อนไหวราคาทองคําเกิดความผิดพลาดได้
ที่มา : คณาจารย์ของสถาบันศศินทร์ (Sasin) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย / บล. ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส
อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
