นักเศรษฐศาสตร์ สนับสนุนรัฐบาลใช้คนละครึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แนะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวหาเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ภายหลังสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเลือก อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ท่ามกลางสังคมที่กำลังจับตามองรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ปัญหาประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ หลังปี 67 การเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) อยู่ที่ 2.5% แต่ในปี 68 มีประมาณการว่าจะเติบโตลดลงต่ำกว่านั้น จากปัญหากำลังซื้อหดตัวและหนี้ครัวเรือนสูง อีกทั้งถูกซ้ำเติมจากภาษีสหรัฐอเมริกา
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำ คือ มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว เช่น คนละครึ่ง เพราะทำได้ทันทีและเคยทำมาก่อนแล้ว โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 1 เท่าของงบประมาณที่ใช้ เพราะมีเม็ดเงินน้อย หรือควรมีมาตรการกระตุ้นเรื่องการผลิตรถยนต์ หรือทำอย่างไรก็ได้กระตุ้นให้คนรวยนำเงินออกมาใช้จ่าย เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือรถยนต์ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะพึ่งพาเพียงเงินของรัฐบาลอย่างเดียวก็คงไม่พอจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้

ดังนั้น จึงต้องหาวิธีทำให้คนรวยหรือบริษัทเอกชนให้มีการลงทุน โดยสร้างบรรยากาศให้น่าลงทุนด้วยการจูงใจทางด้านภาษี ดึงดูดคนต่างชาติเข้ามาเพิ่มความต้องการในประเทศ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ทําได้และไม่ยากมาก หรือลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้เท่าเทียมกับประเทศสิงคโปร์ เพื่อจูงใจให้คนไทยและชาวต่างชาติย้ายมาอยู่ในเมืองไทย เพราะว่าตอนนี้ภาษีของไทยสูงจนไม่สามารถดึงดูดแรงงานที่มีทักษะเข้ามาอยู่ในประเทศได้ เช่น นักการธนาคาร นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งบางคนก็อยากย้ายมาเมืองไทย
ในด้านการท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซั่น (ฤดูท่องเที่ยว) จะสามารถดึงเม็ดเงินลงรากฐานเศรษฐกิจได้เร็ว ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากนี้สิ่งที่ดีกว่าการท่องเที่ยว คือ การมีนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเข้ามาในไทย ซึ่งกลุ่มนี้จะอยู่นาน จะทำให้มีรายได้เข้าประเทศทุกวัน
สำหรับเครื่องจักรเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะมาทดแทนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่นั้น สิ่งที่สามารถพอจะเป็นไปได้ คือ การแพทย์ เครื่องมือทางการแพทย์ สุขภาพ และเซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor) โดยต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ในการดึงคนทักษะสูงในต่างประเทศเข้ามาอยู่ทำงานในไทยมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็ต้องทำบรรยากาศแวดล้อมให้เอื้ออำนวยกับคนเหล่านี้ด้วย ตัวอย่างที่ประเทศเกาหลี มีการสร้างแรงจูงใจให้คนของตนเองกลับมาทำงานในประเทศและให้เงินเท่ากับสหรัฐเมริกา รวมถึงไต้หวันตอนที่จะสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ก็ทำในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การดึงคนของประเทศตนเองเข้ามาและปรับปรุงการศึกษาด้วย อาจจะใช้เวลานานกว่า 10 ปี ดังนั้นวิธีเร็วที่สุดคือดึงคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศให้ได้
“คือตอนนี้ที่เราเห็นคือศักยภาพประเทศไทยค่อย ๆ ลดลงเรื่อยเรื่อย แล้วตอนเนี้ยศักยภาพ (เศรษฐกิจ) อยู่ที่ประมาณ 2.4-2.5% แต่ปีนี้เราก็โตไม่ถึงอย่างที่เรามองไว้ โตแค่ 1.8% ครับ และปีหน้าก็อาจจะต่ำกว่า 2 ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นยังไงเป็นความกังวลว่าถ้าเราไม่ไปจัดการเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้าง ก็จะไม่ไปเสริมศักยภาพของเรา” บุรินทร์ กล่าว
แก้เชิงโครงสร้าง โละกฎระเบียบอนุมัติ-อนุญาต
สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มีข้อเสนอรัฐบาลชุดใหม่ว่า นอกจากมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลควรเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นผลงานได้ทันที แต่การปรับโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศมีความสำคัญมากและรัฐบาลก็จะได้เครดิตในฐานะผู้ริเริ่ม ทั้งนี้การปรับโครงสร้างที่สามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การแก้กฎระเบียบการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยศึกษาวิจัยแล้วพบว่า หากทำในเรื่องที่สำคัญ เช่น การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจมหาศาล และยังแก้ปัญหาโครงสร้างได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ รัฐบาลควรสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนที่ทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ลักษณะเดียวกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) แต่การทำงานของกรอ.ในอดีตมุ่งเน้นบางประเด็นและส่วนใหญ่เป็นปัญหาระยะสั้น จึงควรมี กรอ.ในรูปแบบที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยใน 3 ด้านผ่านกรอ.ชุดย่อย คือ
1. กรอ.ด้านกำลังคน โดยรัฐและเอกชนควรร่วมมือกันฝึกทักษะแรงงานให้คนไทยมีโอกาสทำงานที่ใช้ทักษะสูง ซึ่งจะทำให้มีรายได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการลงทุนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นในประเทศได้ เพราะขาดแรงงานที่มีทักษะเพียงพอ กลไกรัฐร่วมเอกชนนี้จะทำหน้าที่นำความต้องการของภาคเอกชนมา เพื่อให้ภาครัฐฝึกกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยยึดโยงกับพื้นฐานข้อมูลจริงในตลาดแรงงาน ซึ่งทีม Big Data ทีดีอาร์ไอได้มีการสำรวจความต้องการจากเอกชนในทุกไตรมาส ทำให้พบปัญหากำลังคนที่ผลิตออกมาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
2. กรอ.ด้านนวัตกรรม ประเทศไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าที่ราคาถูกกว่าได้ เช่นสินค้าจีน แม้ว่าการสร้างนวัตกรรมต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรริเริ่มทำให้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ โดยเอาความต้องการของเอกชนเป็นตัวตั้ง
3. กรอ.ด้านกฎระเบียบ ทำหน้าที่ปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ โมเดลเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับแนวคิด Reinvent Thailand ที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และภาครัฐซึ่งประกอบด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้ร่วมกันเสนอไปก่อนหน้านี้