น้ำท่วมใต้ทุบเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้าน แนะรัฐเร่งฟื้นฟูความเสียหาย

โดยเฉพาะ จ.สงขลา หลังเผชิญการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภาคบริการ ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง นักวิเคราะห์ เรียกร้อง รัฐบาลสนับสนุนภาคธุรกิจฟื้นตัว

กรณีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคใต้ทั้ง 8 จังหวัด  ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมพื้นที่ 38 อำเภอ 181 ตำบล 1,170 หมู่บ้าน ส่งผลกระทบประชาชน 333,907 ครัวเรือน และ 938,151 คน

เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรก ผลกระทบทันทีจากการ หยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และส่วนที่สองจากความเสียหายต่อสินทรัพย์ ที่เป็นความเสียหายอาจทยอยรับรู้ในอนาคต 

ส่วนแรกผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเบื้องต้นอาจคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 1 เดือน หรือราว 0.13% ของขนาดเศรษฐกิจประเทศไทย (Nominal GDP) บนสมมติฐานเหตุการณ์รุนแรงในช่วง 10-15 วันแรก และความรุนแรงทยอยลดระดับลงในอีก 10-15 วันถัดมา 

โดยผลกระทบหลักอยู่ที่ จ. สงขลา ซึ่งช่วงแรกประสบภัยในแทบทุกพื้นที่ โดยหลัก ๆ จะมาจากการหยุดชะงักลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ เช่น สถานที่พักแรม ร้านอาหาร ค้าปลีก ขนส่ง เป็นต้น และการผลิตอุตสาหกรรม เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 56% และ 18% ตามลำดับใน จ. สงขลา

รวมไปถึงการหยุดให้บริการ สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างไฟฟ้าและประปา มีสัดส่วนกว่า 3% โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจมักจะคึกคักขึ้นตามปัจจัยด้านฤดูกาลของการท่องเที่ยว อีกทั้งอยูในช่วงที่ไทยกำลังเป็นเจ้าภาพงานกีฬาซีเกมส์ และ จ.สงขลา เป็นหนึ่งในสถานที่จัดการแข่งขันหลายประเภทกีฬา 

นอกจากนี้ ความเสียหายส่วนที่เหลือของ จ. สงขลา และในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ผลกระทบจะเกิดขึ้นในภาคเกษตร ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกยางพาราและปาล์มน้ามัน รวมถึงพื้นที่เลี้ยงสัตว์น้ำหรือประมง 

ทั้งนี้เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทยอยคลี่คลาย ผู้ประสบภัยจะได้รับผลกระทบจากการจัดการความเสียหายของ สินทรัพย์เพิ่มเติม เช่น อาคาร รถยนต์ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งการรับรู้ผลกระทบในส่วนที่สอง ทั้งการซ่อมแซมและซื้อใหม่ ซึ่งคงจะทยอยใช้เวลา และยังต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย ทั้งเงินออมและความสามารถในการหารายได้ของแต่ละครัวเรือน ภาวะเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือจากเจ้าหนี้และคู่ค้าต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงิน ตลอดจนมาตรการจากภาครัฐ  

ขณะที่ วิจัยกรุงศรี ประเมินมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากอุทกภัยภาคใต้ปี 68 ภายใต้การจำลองสถานการณ์ 3 ฉากทัศน์ ดังนี้

  • กรณีดีที่สุด (Best case) หรือกรณีที่เกิดความเสียหายน้อยสุด โดยใช้สมมติฐานว่าภาคธุรกิจและบริการต้องหยุดชะงักและต้องดำเนินการฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมรวมเป็นระยะเวลา 15 วัน คาดว่ามูลค่าความเสียหายจะอยู่ที่ราว 11.8 พันล้านบาท

  • กรณีฐาน (Base case) ใช้สมมติฐานว่าจำนวนวันที่ภาคธุรกิจและบริการหยุดชะงักและต้องดำเนินการฟื้นฟู รวม 25 วันคาดว่ามูลค่าความเสียหายจะอยู่ที่ราว 19.7 พันล้านบาท

  • กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case)ใช้สมมติฐานว่าจำนวนวันที่ภาคธุรกิจและบริการหยุดชะงักและดำเนินการฟื้นฟูรวม 30 วัน คาดว่ามูลค่าความเสียหายจะอยู่ที่ราว 23.6 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ความสูงของระดับน้ำและระยะเวลาที่น้ำท่วมขัง หากน้ำท่วมสูงและขังนาน ภาคธุรกิจต้องทำความสะอาดและตรวจสอบระบบไฟฟ้า/เครื่องจักร ซึ่งทำให้การกลับมาดำเนินธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้น

สำหรับธุรกิจกลุ่มร้านค้าปลีก/บริการ อาจสามารถฟื้นฟูได้เร็ว แต่หากเกิดความเสียหายกับเครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ หรือสต็อกสินค้า หรือหากต้องซ่อมแซมผนัง พื้น และรอการเปลี่ยนอุปกรณ์/เครื่องมือ อาจต้องใช้เวลานานขึ้นก่อนกลับมาดำเนินการใหม่ได้ โดยเฉพาะโรงงาน/โรงแรมที่มีเครื่องจักรและระบบที่ซับซ้อน อาจต้องใช้เวลาตรวจซ่อมและติดตั้งใหม่ยาวนานกว่า

ทั้งนี้ธุรกิจจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากภาครัฐมีความพร้อมและเร่งตรวจสอบ ซ่อมแซมระบบไฟฟ้าและประปา และสนับสนุนการเร่งรัดการอนุมัติหรือจ่ายเงินประกันภัย เพื่อเป็นทุนฟื้นฟูกิจการ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active