ต้นทุนสงครามยืดเยื้อ ไม่ได้อยู่แค่ใน ‘สนามรบ’ หวังสถานการณ์สงบโดยเร็ว

นักรัฐศาสตร์ ม.อุบลฯ ย้ำ แม้ ไทย-กัมพูชา ขัดแย้งร้าวลึก แต่ชีวิตคนชายแดนยากตัดขาดกัน ยอมรับความฝัน เดินหน้าเศรษฐกิจ ‘สามเหลี่ยมมรกต’ พื้นที่อีสานล่างเกิดยาก ย้อนบทเรียนอดีตถึงตอนนี้ ยังติดหล่ม ‘ทุ่นระเบิด’ ทำชายแดนไร้การพัฒนา หวั่นสถานการณ์ยิ่งลากยาว ยิ่งกดดันรัฐบาล ชาวบ้านแบกรับต้นทุนสงคราม ห่วงปากท้อง รายได้ สาธารณสุข กระทบหนัก  

ธนเชษฐ วิสัยจร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ The Active เปิดเผยถึงการลงพื้นที่สังเกตการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งในช่วงก่อนและระหว่างที่เริ่มมีความตึงเครียดทางการทหาร ว่า เป็นผลจากความสนใจด้านวิชาการและประสบการณ์ทำงานวิจัยเรื่องชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนไทย–ลาว ซึ่งเป็นหัวข้อที่ศึกษาและทำงานวิชาการมาเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ด้วยที่ตั้งของจังหวัดอุบลราชธานี มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศ คือ สปป.ลาว และกัมพูชา ทำให้พื้นที่นี้มี “จุดเด่นเชิงภูมิศาสตร์” โดยไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นใหม่ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ เหตุใดพื้นที่ชายแดนด้านเหนือ เช่น สามเหลี่ยมทองคำ จึงสามารถพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้ ขณะที่ “สามเหลี่ยมมรกต” ในภาคอีสานตอนล่าง กลับไม่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ ทั้งที่ในอดีตมีแนวคิด “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” และเคยมีจินตนาการถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในระดับพื้นที่

ธนเชษฐ วิสัยจร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

“แผนเหล่านั้นหายไปไหน ทำไมพื้นที่นี้ถึงไม่เดินไปในทิศทางเดียวกัน ผมเลยเริ่มทำวิจัย โดยเรียกพื้นที่นี้ว่า ชายแดนสามเศร้า หรือ Triple Border”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ความทรงจำพื้นที่ จากสงครามสู่ทุ่นระเบิดที่ยังไม่หมด

จากการศึกษาด้าน “ความทรงจำของพื้นที่” ธนเชษฐ จึงย้อนกลับไปสำรวจร่องรอยความขัดแย้งในอดีต โดยเฉพาะเหตุการณ์สู้รบช่วงปี 2528–2530 ซึ่งเกี่ยวข้องกับนโยบายความมั่นคงของรัฐไทยในช่วงสงครามเย็น มีการสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก และยังหลงเหลือร่องรอยทางกายภาพ เช่น หลุมหลบภัยในวัด โรงเรียน และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในหลายหมู่บ้านตามแนวชายแดน

แม้เวลาจะผ่านมากว่า 30 ปี แต่ปัญหาทุ่นระเบิดยังไม่หมดไป และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน

“แค่เดินในบางพื้นที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเหยียบกับระเบิดลูกเก่าหรือไม่ ทั้งที่ยังไม่เก็บกู้หมด และในช่วงหลังกลับมีการฝังของใหม่ลงไปอีก”

ธนเชษฐ วิสัยจร

อุบลฯ จุดแข็งสาธารณสุข ดึงดูดชาวกัมพูชามากกว่าลาว

ในอีกมิติหนึ่ง งานวิจัยด้านศักยภาพเศรษฐกิจของจังหวัดอุบลราชธานีกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบว่า จังหวัดอุบลฯ มีจุดแข็งสำคัญด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่และโรงเรียนแพทย์ ส่งผลให้ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามารับบริการรักษาพยาบาลในอุบลราชธานีมากกว่าชาวลาว ทั้งที่จังหวัดอุบลฯ ไม่มีจุดผ่านแดนถาวรกับกัมพูชา

“คนกัมพูชาหลายคนเดินทางอ้อมมาทางศรีสะเกษ หรือสุรินทร์ บางคนมาจากเสียมราฐ แต่เลือกมารักษาที่อุบลฯ เพราะศักยภาพโรงพยาบาลไม่เป็นรองจังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน ค่าใช้จ่ายโดยรวมก็ยังคุ้มกว่า”

ธนเชษฐ วิสัยจร

อย่างไรก็ตาม ความหวังในการยกระดับ “ช่องอานม้า” ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร และการผลักดันพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจหรือท่องเที่ยว เริ่มเลือนรางลง เมื่อสถานการณ์ชายแดนกลับมามีความตึงเครียดอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังเหตุปะทะทางทหารและเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่

ธนเชษฐ ยอมรับว่า ความฝันส่วนตัวในฐานะคนอุบลฯ ที่อยากเห็นการเปิดด่านถาวรและการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะใกล้

“บรรยากาศมันกลับไปเป็นพื้นที่ความมั่นคง มีแต่เรื่องทุ่นระเบิดและความไม่แน่นอน”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ผลกระทบเศรษฐกิจ ร้านค้ารอบโรงพยาบาลเงียบลง

ในด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธนเชษฐ สะท้อนว่า แม้ยังไม่มีการสำรวจเชิงตัวเลขอย่างเป็นระบบ แต่สังเกตได้จากพื้นที่รอบโรงพยาบาลในตัวเมืองอุบลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้มีร้านค้า ร้านอาหาร และป้ายภาษากัมพูชาจำนวนมาก ปัจจุบันเงียบลงอย่างชัดเจนหลังชาวกัมพูชาไม่สามารถเดินทางเข้ามาได้

“บางร้านบอกว่ายังอยู่ได้ แต่รายได้พิเศษหายไป สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าผลกระทบมีจริง เพียงแต่เรายังไม่มีข้อมูลมาวัดอย่างเป็นทางการ ในขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจยังไม่ได้รับการประเมินอย่างรอบด้าน สังคมกลับถูกดึงไปสู่กรอบวาทกรรมชาตินิยมเป็นหลัก”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ไทย–กัมพูชา “ตัดขาดกันไม่ได้” แม้บาดแผลร้าวลึก

ส่วนคำถามที่ว่าหากประเทศไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาโดยสิ้นเชิงจะกระทบมากหรือไม่ ? ธนเชษฐ ก็เห็นว่า ในทางปฏิบัติ “เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์”

“ต่อให้ยังมีความขัดแย้ง ต่อให้ความรู้สึกของคนสองฝั่งจะไม่เชื่อมต่อกันในเจเนอเรชันนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพยาบาล คนที่มีเงิน เขาจะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด”

ธนเชษฐ วิสัยจร

อย่างไรก็ตาม เขาชี้ว่า แม้ความจำเป็นจะยังคงอยู่ แต่บาดแผลทางสังคมจากความรุนแรงไม่ได้เลือนหายง่าย โดยยกตัวอย่างกรณีจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยถูกโจมตีด้วยจรวด BM 21 ส่งผลให้ความรู้สึกหวาดระแวงฝังลึกในพื้นที่

“ลองคิดดูว่าถ้าคุณขับรถจากเสียมเรียบ ผ่านด่านเข้ามา แวะปั๊มน้ำมัน ใช้ภาษาต่างชาติ มีป้ายทะเบียนต่างประเทศ คนในพื้นที่จะลืมง่ายๆ เหรอ มันเป็นบาดแผลที่ร้าวลึก”

ธนเชษฐ วิสัยจร

นักวิชการยังมองว่า แม้ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเอง ความรู้สึกก็ไม่ต่างกัน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แม้ในช่วงที่มีการปิดด่านหรือจำกัดเวลาเข้า–ออก ก็ยังมีชาวกัมพูชาพยายามเดินทางอ้อมเข้ามา ผ่านประเทศที่สาม เช่น สปป.ลาว เพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในอุบลราชธานี

“ผมคุยกับคนทำธุรกิจบ้านเช่าแถวโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าคนกัมพูชายังพยายามเข้ามา เพราะมันคือความจำเป็นด้านสุขภาพ บางคนมาจากเสียมเรียบ ระยะทางสองถึงสามร้อยกิโลเมตร แต่เลือกมาอุบลฯ ไม่ไปโคราช”

ธนเชษฐ วิสัยจร

มองท่าทีรัฐบาล ยิ่งลากยาว ยิ่งเกิดบาดแผล

เมื่อถามถึงท่าทีของรัฐบาลต่อสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะแนวทางการเจรจาหยุดยิง ธนเชษฐ ระบุว่า การจะบอกว่ารัฐบาล มาถูกทางหรือไม่ ต้องดูที่เป้าหมายหลัก หากเป้าหมายคือการลดหรือทำลายศักยภาพทางทหารของฝ่ายตรงข้ามเพื่อไม่ให้เป็นภัยคุกคาม ก็ยอมรับว่ากองทัพไทยมีความเหนือกว่า แต่คำถามสำคัญคือจะใช้เวลานานเพียงใด

“เสียงที่ผมไปถามมาก็แตกออกเป็นสองทาง บางกลุ่มบอกว่าจะจบใน 2–3 วัน บางกลุ่มบอก 10 วัน แต่ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าลากยาว ซึ่งทุกคนเห็นตรงกันอย่างหนึ่งคือ ยิ่งลากยาว รัฐบาลยิ่งเกิดบาดแผล”

ธนเชษฐ วิสัยจร

สำหรับต้นทุนของความยืดเยื้อไม่ได้อยู่แค่ในสนามรบ แต่ตกอยู่กับประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่อพยพ ซึ่งยังไม่สามารถกลับบ้านได้ ขณะที่บางพื้นที่มีคำสั่งอพยพโดยด่วน หลังมีผู้เสียชีวิต

“ผมคุยกับคนศรีสะเกษที่มาเช่าบ้านอยู่ในอุบลฯ เขาบอกว่าพ่อแม่อพยพรอบแรก รอบสองไม่ยอมไปแล้ว ทั้งที่ได้ยินเสียงระเบิด เพราะห่วงบ้าน ห่วงทรัพย์สิน ห่วงสัตว์เลี้ยง ซึ่งสำหรับคนจน สัตว์เลี้ยงคือ ธนาคาร ของเขา”

ธนเชษฐ วิสัยจร

ธนเชษฐ กล่าวว่า ความเสียหายไม่ได้จำกัดแค่ชีวิตคน แต่ยังรวมถึงฐานเศรษฐกิจของชุมชน ทั้งปศุสัตว์ สวนยางพารา และสวนทุเรียน ซึ่งไม่สามารถดูแลได้เมื่อประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่

กัมพูชา “ถอดบทเรียน” จากปี 2554 ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์

ในเชิงการทหาร ธนเชษฐ เปรียบเทียบกับเหตุปะทะปี 2554 (2011) ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ยุติลงค่อนข้างรวดเร็ว แต่การปะทะในปัจจุบันแตกต่างออกไป เนื่องจากกองทัพกัมพูชาได้ถอดบทเรียน จากความพ่ายแพ้ในอดีต

“ผ่านมา 14 ปี กัมพูชามีการพัฒนาอาวุธและยุทธวิธี เป้าหมายสำคัญไม่ใช่แค่ชัยชนะทางทหาร แต่คือการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าสามารถยืนหยัดสู้กับไทยได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นความสำเร็จเชิงสัญลักษณ์ของชนชั้นนำการเมืองกัมพูชา”

ธนเชษฐ วิสัยจร

“ทางออก” ที่ยังคิดไม่ออก ความฝันที่ยังไม่สิ้นหวัง

เมื่อถูกถามถึง “ทางออก” ของสถานการณ์ชายแดนเวลานี้นั้น ธนเชษฐ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ โดยมองว่าปัญหานี้ผูกโยงกับลักษณะระบอบการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้าน และโครงสร้างเศรษฐกิจสีเทาที่หล่อเลี้ยงอำนาจทางการเมือง

“เราเคยคิดว่าถ้าความสัมพันธ์ผู้นำต่อผู้นำดี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะดีไปด้วย แต่มันไม่จริงเสมอไป มันขึ้นกับธรรมชาติของระบอบการปกครอง และรูปแบบการแสวงหารายได้ของรัฐนั้นด้วย”

ธนเชษฐ วิสัยจร

อย่างไรก็ตามในฐานะคนอุบลราชธานี จึงยังคงมีความฝันส่วนตัว ต่ออนาคตของพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับช่องอานม้าเป็นจุดผ่านแดนถาวร การพัฒนาพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตให้เป็นฐานเศรษฐกิจ และการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวเขาพระวิหารจากฝั่งไทย รวมถึงความหวังให้ระบบคมนาคมเชื่อมต่อไปถึงประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาว

“ผมอยากเห็นอุบลฯ เจริญ อยากเห็นสิ่งที่เคยมีในวัยเด็กกลับมาอีกครั้ง แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมก็ยอมรับว่ายังคิดไม่ออกว่าทางออกจะเป็นอย่างไร”

ธนเชษฐ วิสัยจร

นักรัฐศาสตร์ ยังทิ้งท้ายว่า ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาเป็นภาพสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างการเมืองภายในกับการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้ด้วยอารมณ์หรือความสัมพันธ์เฉพาะตัวของผู้นำ หากแต่ต้องมองโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ในระยะยาว

“สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคือรัฐบาลไทยจะเดินหน้าตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ เพื่อลดภัยคุกคามจากกัมพูชา แม้จะเจ็บทั้งสองฝ่าย แต่สถานการณ์นี้จำเป็นต้องยุติลงในระยะอันใกล้”

ธนเชษฐ วิสัยจร

พร้อมย้ำว่า หากต้องการมองอนาคตของพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมองเกินกว่าเรื่องความมั่นคงเฉพาะหน้า และกลับมาทบทวนโครงสร้างชายแดน เศรษฐกิจ และความทรงจำร่วมของพื้นที่อย่างจริงจังอีกครั้ง​​​​​​​​​​​​​​​​

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active