ขบวน Pride ดันกฎหมาย รับรองเพศฯ ปักหมุดไทยเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030

ขบวนพาเหรดสีรุ้งทอดยาวกว่า 2 กิโลเมตรกลางกรุงเทพฯ ย้ำ ‘สมรสเท่าเทียม’ เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ดันร่างกฎหมาย รับรองเพศสภาพ ส่งไทยเป็นเจ้าภาพ World Pride 2030

สิ้นสุดลงไปแล้วสำหรับขบวนเฉลิมฉลอง “Bangkok Pride Festival 2025” เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 68 เปลี่ยนถนนพระรามที่ 1 ให้แต่งแต้มด้วยธงสีรุ้ง และธงอัตลักษณ์ ยาวกว่า 200 เมตร ซึ่งปีนี้มาในธีม “Born This Way” สะท้อนจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ของการผ่าน กฎหมายสมรสเท่าเทียม และการผลักดันเพื่อสิทธิที่ครอบคลุมมากกว่านั้น เพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ ให้เป็น Pride Destination แห่งเอเชีย และก้าวสู่เวทีระดับโลกกับเป้าหมายการเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Pride 2030

งานในปีนี้จัดโดย บริษัท นฤมิตไพรด์ จำกัด ร่วมกับกรุงเทพมหานคร ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน พร้อมกว่า 90 ขบวนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วม งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเฉลิมฉลอง แต่ยังเป็นพื้นที่ให้ LGBTQIAN+ ได้แสดงออกทั้งพลัง ความสามารถ และการมีอยู่ในสังคมไทยอย่างภาคภูมิ พร้อมทั้งร่วมกันผลักดันข้อเรียกร้องสำคัญต่อภาครัฐ ผ่านขบวนพาเหรดที่รวมพลังมากกว่า 90 ขบวน

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Pride Parade 2025 โดยระบุว่า รัฐบาลให้การสนับสนุนสิทธิเสรีภาพ ความเป็นตัวของตัวเอง และการเคารพในความหลากหลายอย่างจริงจัง ตามเจตนารมณ์ของชื่องาน Born This Way – รักในการเกิดมาเป็นตัวของตัวเอง พร้อมย้ำว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีตัวตนแบบไหน เราก็มีสิทธิได้รับการดูแลจากรัฐบาลอย่างเท่าเทียม พร้อมแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปีนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย

“วันนี้ขอให้ทุกคนสนุกเต็มที่ เป็นตัวของตัวเอง และรักในสิ่งที่เราเป็น เราไม่ได้ทำร้ายใคร การที่เราจะแต่งตัวแบบไหน จะหน้าตาอย่างไร หรือจะเปลี่ยนเป็นอะไร นั่นไม่ใช่อุปสรรคในการเป็นคนดีหรือเป็นพลเมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”

แพทองธาร ชินวัตร

สร้างเมืองหลากหลาย เพื่อชีวิตที่เท่าเทียม

จุดมุ่งหมายของการจัดงาน Bangkok Pride Festival ไม่เพียงเป็นการจัดกิจกรรมประจำปีเท่านั้น หากแต่เป็นการวางรากฐานการสร้างเมืองที่เท่าเทียม เปิดกว้าง และปลอดภัยสำหรับทุกชีวิต โดยเฉพาะชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ การเฉลิมฉลองด้วยพาเหรด สีสัน และกิจกรรมบันเทิง จึงมาพร้อมกับการส่งเสียงเรียกร้องเชิงนโยบาย เพื่อให้ความไพรด์ไม่ได้หยุดอยู่แค่วันเดียว แต่แผ่ขยายสู่การดำรงชีวิตทุกวันของผู้คน

กลุ่มนฤมิตไพรด์ ยืนยันว่า เทศกาลนี้เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในด้านกฎหมาย การรับรู้ และพื้นที่ทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้เกิดการใช้ภาษาที่ครอบคลุม การออกแบบเมืองที่ไม่กีดกัน และการสร้างระบบสวัสดิการที่ไม่เลือกปฏิบัติ ทุกองค์ประกอบล้วนสะท้อนจุดมุ่งหมายของงาน นั่นคือ เมืองที่เป็นของทุกคน ภายใต้ธีม “Born This Way” งานในปีนี้จึงขับเน้นแนวคิดว่า ความหลากหลายไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การแสดงออกถึงอัตลักษณ์จึงไม่ควรถูกตีตรา แต่ควรได้รับการยอมรับ คุ้มครอง และส่งเสริมในทุกมิติ

ปักหมุดมหานครไพรด์ สู่เจ้าภาพ World Pride 2030

Bangkok Pride 2025 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในเส้นทางการยื่นข้อเสนอ (Bidding) เพื่อเป็นเจ้าภาพงาน World Pride 2030 กับ Interpride องค์กรนานาชาติที่ดูแลการจัดงาน Pride ทั่วโลก โดยการจัดงานในปีนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างภาพจำแห่งความสนุกสนานเท่านั้น แต่เป็นการแสดงศักยภาพของกรุงเทพฯ ในฐานะเมืองที่พร้อมรองรับงานระดับโลก

ด้วยการร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม Bangkok Pride มีความพร้อมในฐานะสมาชิกของ Interpride และเครือข่าย Pride City Network ที่จะเสนอชื่อกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นมหานครหลากหลายทางเพศแห่งแรกของเอเชียที่ได้รับเกียรติให้จัดงาน World Pride หากสำเร็จ จะนับเป็นครั้งแรกที่งานระดับโลกนี้จัดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย สะท้อนถึงพลังและการยอมรับที่ขยายตัวไปสู่ภูมิภาคอื่นของโลก

World Pride เป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ระดับโลกของชุมชน LGBTQIAN+ ที่จัดขึ้นทุก 2-3 ปีในเมืองใหญ่ต่างๆ ทั่วโลก มีผู้เข้าร่วมหลายแสนถึงหลักล้านคน เช่น ที่นิวยอร์กในปี 2019 หรือซิดนีย์ในปี 2023 ซึ่งงานเหล่านี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล และกลายเป็นเวทีผลักดันนโยบายสิทธิมนุษยชนด้วย

การผลักดันรับรองอัตลักษณ์เพศสภาพ

ในปีนี้งานไพรด์กรุงเทพฯ มีขบวนร่วมเดินมากกว่า 90 ขบวน ภายใต้ธีม “Born This Way : First of June” ที่เน้นการยอมรับในความเป็นตัวเองอย่างภาคภูมิใจ โดยมีจุดร่วมสำคัญคือการผลักดันสิทธิเสรีภาพของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ภายหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังมีร่างกฎหมายสำคัญอีกฉบับที่ต้องผลักดันควบคู่กัน คือ ร่างพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ

ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอโดยกลุ่ม Intersex Thailand มีชื่อเต็มว่า “ร่างพระราชบัญญัติรับรองการกำหนดเจตจำนงในอัตลักษณ์ทางเพศสภาพฯ” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ร่างพ.ร.บ.รับรองเพศสภาพ” โดยให้สิทธิแก่บุคคลอายุ 18 ปีขึ้นไปในการยื่นคำร้องขอเปลี่ยนแปลงเพศและคำนำหน้านามตามอัตลักษณ์ของตน ซึ่งจะมีผลในทางกฎหมาย ครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลในทะเบียนราษฎรไปจนถึงบัตรประชาชน โดยสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานเขต อำเภอ สถานกงสุล หรือศาล

เมื่อยื่นคำร้องแล้ว นายทะเบียนต้องดำเนินการภายใน 15 วัน หากไม่อนุมัติสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันเช่นกัน สำหรับผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 18 ปีจะต้องมีการยินยอมจากผู้ปกครอง และให้พนักงานอัยการเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล โดยไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ ทั้งนี้สามารถใช้พยานบุคคลหรือหลักฐานอื่นประกอบการรับรองอัตลักษณ์ได้เช่นกัน

ร่างกฎหมายยังเปิดให้ผู้ร้องสามารถระบุเพศได้ 3 แบบ ได้แก่ เพศชาย เพศหญิง และเพศนอกระบบสองเพศ (X) ซึ่งจะมีผลต่อสิทธิและหน้าที่ที่ได้รับตามกฎหมาย เช่น การใช้คำนำหน้านามที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ การได้รับความคุ้มครองด้านข้อมูลส่วนบุคคล การไม่ถูกเลือกปฏิบัติ รวมถึงสิทธิที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เช่น คดีเด็กและเยาวชน หรือการลาคลอดสำหรับผู้มีครรภ์ตามกฎหมายแรงงาน

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังรับรองสิทธิในการเข้ารับการศัลยกรรมเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ โดยถือว่าเป็นสิทธิด้านสุขภาพตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมรายชื่อประชาชนอย่างน้อย 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอต่อรัฐสภา ซึ่ง ณ วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 มีผู้ร่วมลงชื่อเพียง 1,584 ราย สามารถร่วมลงชื่อสนับสนุนร่างกฎหมายนี้ได้ที่ https://intersexthailand.org/petition/

ผลักดันยกเลิกการปราบปรามการค้าประเวณี

นอกจากการผลักดันกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ยังมีร่างกฎหมายสำคัญอีกฉบับที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มพนักงานบริการและมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ โดยมีประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุนมากกว่า 13,000 รายชื่อ ชี้ให้เห็นถึงความต้องการปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัยและเลือกปฏิบัติ

กฎหมายเดิมเน้นการปราบปรามมากกว่าการคุ้มครอง ส่งผลให้พนักงานบริการตกอยู่ในความเสี่ยง ทั้งในแง่ความปลอดภัย สุขภาพ และการถูกละเมิดสิทธิ เช่น ถูกรีดไถ ถูกทำร้าย หรือเอารัดเอาเปรียบโดยสถานบริการ ซึ่งบ่อยครั้งทำให้พนักงานบริการไม่กล้าแจ้งความหรือต่อสู้เพื่อสิทธิของตน

แม้ พ.ร.บ.ฉบับเดิมจะตั้งเป้าลดจำนวนพนักงานบริการ แต่ข้อเท็จจริงคือจำนวนสถานบริการไม่ได้ลดลง กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้เกิดการหาผลประโยชน์จากผู้มีอำนาจ ร่างกฎหมายใหม่นี้จึงมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ให้บริการที่สมัครใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยกลุ่มที่ถูกบังคับให้เข้าสู่วงจรค้าประเวณี โดยจะต้องได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลืออย่างเหมาะสม

ร่างกฎหมายยังเสนอให้พนักงานบริการที่สมัครใจสามารถทำงานอย่างเปิดเผยภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย โดยให้สิทธิในการเข้าสู่ระบบประกันสังคม ระบบภาษี และมีสิทธิในการปฏิเสธลูกค้าได้ ส่งเสริมให้สถานประกอบการมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย สวัสดิการ และศักดิ์ศรีของพนักงานบริการอย่างเหมาะสม นำไปสู่การยอมรับอาชีพนี้ในระบบเศรษฐกิจอย่างเปิดเผยและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ผลักดันกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว

Bangkok Pride ร่วมผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ฉบับภาคประชาชน ที่เปิดให้ประชาชนร่วมเข้าชื่อเสนอร่างต่อรัฐสภา ผ่านเว็บไซต์ changedvlaw.com โดยร่างฉบับนี้เน้นการเอาผิด ฟื้นฟูผู้กระทำ และคุ้มครองผู้ถูกกระทำ พร้อมวางเงื่อนไขใหม่ในการยอมความหรือถอนฟ้อง เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิมที่เน้นการประนีประนอมมากกว่าความยุติธรรม

กฎหมายเดิมที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2550 ถูกวิจารณ์ว่าไม่ตอบโจทย์ความรุนแรงซ้ำซากในครอบครัว เพราะให้ความสำคัญกับการคืนดีในครอบครัว มากกว่าการลงโทษผู้กระทำผิด จนทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้จึงเกิดขึ้นจากความร่วมมือของ 11 องค์กรภาคประชาสังคม เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้

ร่างฉบับภาคประชาชนกำหนดให้การยอมความต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย และเปิดทางให้ศาลเพิ่มโทษหากผู้กระทำผิดซ้ำ พร้อมทั้งขยายอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา และเพิ่มระบบดูแลผู้เสียหาย เช่น การห้ามเข้าใกล้ ห้ามติดต่อ หรือการให้ผู้กระทำเข้ารับการปรึกษาและบำบัด โดยสามารถกำหนดให้วางเงินประกัน และส่งมอบอาวุธที่อาจใช้ก่อเหตุได้ เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในอนาคต

นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังระบุให้การยอมความต้องมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถูกกระทำ หากผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ก็สามารถนำคดีขึ้นมาดำเนินการใหม่ได้ ร่างฉบับนี้จึงมุ่งหวังให้กระบวนการยุติธรรมทำงานได้จริงในการปกป้องผู้ถูกกระทำ และยุติวงจรความรุนแรงในครอบครัวอย่างยั่งยืน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active