ไทย-เนปาล ดัชนีรับรู้ทุจริตเท่ากัน ! หวั่นเป็นเชื้อไฟปะทุความรุนแรง

องค์การต่อต้านคอร์รัปชันไทย ชี้ ไทยล้มเหลวจัดการคอร์รัปชัน  ชนวนเหตุเศรษฐกิจนอกระบบ อิทธิพลบ้านใหญ่ ฝากความหวังอนุทิน เปิดเผยโปร่งใส ก่อนประชาชนสิ้นศรัทธา และนำไปสู่การปะทะรุนแรงในสังคม

เหตุประท้วงรุนแรงในเนปาลที่ปะทุเมื่อต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา หนึ่งในชนวนเหตุสำคัญมากจากการที่หลายปีที่ผ่านมา คือ วิกฤตทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วง ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการคอร์รัปชั่นของรัฐบาล

การทุจริตในภาพใหญ่ ถูกสะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมในโลกออนไลน์ จากไลฟ์สไตล์ของบรรดาลูกผู้มีอิทธิพลในประเทศที่อวดไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย ทำให้สังคมตั้งคำถามว่า “ภาษีประชาชน ถูกใช้พัฒนาประเทศจริงไหม?”

ปรากฏการณ์ในเนปาลไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะปัญหาคอร์รัปชัน เป็นสิ่งที่หลายประเทศเผชิญ รวมทั้งไทย ที่สามารถลุกลาม เป็นวิกฤติทางการเมืองและสังคมได้

Transparency International (องค์กรสร้างความโปร่งใสนานาชาติ) เปิดเผยว่า ดัชนีการรับรู้การทุจริตในภาครัฐ (Corruption Perceptions Index, CPI) ปี 2024 ว่า ไทย และ เนปาล ได้คะแนนเท่ากัน คือ 34/100 (คะแนนยิ่งสูง ยิ่งโปร่งใสมาก) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก (จาก 180 ประเทศ) อาจระบุได้ว่าส่วนหนึ่งมาจาก  “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ใกล้เคียงกัน คือ การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ความโปร่งใสเชิงสถาบันต่ำ ความขัดแย้งผลประโยชน์ฝังราก ฯลฯ

วันนี้ (13 ก.ย. 68) ดร. มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ The Active ว่า บทเรียนทั่วโลกชี้ให้เห็นแล้วว่าปัญหาคอร์รัปชันเป็นเสมือนเชื้อไฟในประเทศ ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง เกลียดชัง และนำไปสู่ความรุนแรง

“ในประเทศที่มีคอร์รัปชันมาก ๆ ประชาชนจะไม่มีที่พึ่ง และพยายาามหาทางออกด้วยตัวเอง เมื่อไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน เมื่อความเชื่อถือของรัฐบาลถูกบ่อนทำลาย ก็จะนำไปสู่การต้อต้าน และความรุนแรง”

ดร. มานะ นิมิตรมงคล
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

ดร.มานะ ยกตัวอย่างถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่ผ่านมา เช่น รัฐบาลพล.อ.สุจินดา คราประยูร (พ.ศ. 2535) เป็นช่วงเวลาที่ ปัญหาคอร์รัปชัน และ ความไม่พอใจทางการเมือง ของประชาชนปะทุจนเกิดการปะทะครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” ที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของสังคมไทย

คอร์รัปชันแบบไทย ๆ วัฒนธรรมที่ไทยคุ้นชิน

ดร.มานะ นิมิตรมงคล สะท้อนสถานการณ์คอร์รัปชันในประเทศไทยปัจจุบันว่า ปัญหาการโกงฝังรากลึกและขยายตัวเป็นเครือข่ายจนกลายเป็น “กติกาในสังคม” ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าหากไม่โกงก็อยู่ไม่รอด

“ทุกวันนี้ ไทยมีปัญหาคอร์รัปชันหนักมาก การฉ้อโกงเกิดขึ้นอย่างแนบเนียน เป็นเครือข่าย ประชาชนต่างรับรู้โดยทั่วไปว่ามีอยู่ทั้งในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ และการเมือง” ดร.มานะกล่าว

เขาชี้ว่า ระบบการเมืองที่ซื้อเสียงและแสวงหาประโยชน์ ทำให้นักการเมืองและกลุ่มทุนต้องหาทาง “เล่นแร่แปรธาตุ” เพื่อแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ ขณะที่ระบบราชการก็เต็มไปด้วยการวิ่งเต้น เส้นสาย และการจ่ายเงินเพื่อรักษาตำแหน่งหรือผลประโยชน์ส่วนตัว

นอกจากนี้ ยังมีการ รีดไถประชาชนและนักธุรกิจ การยอมจ่าย ใต้โต๊ะ เพื่อประคองให้ธุรกิจเดินต่อไปได้กลายเป็นเรื่องปกติ ความคุ้นชินนี้ส่งผลให้ประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐ ความถูกต้อง และความยุติธรรม

ดร.มานะเตือนว่า แม้ไทยยังไม่ถึงขั้นลุกฮือใหญ่แบบประเทศเนปาล แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ เช่น การปะทะระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประเทศไทย ก็แสดงถึงการสะสมความโกรธและความไม่ไว้วางใจของสังคม

“เราชินภาพประชาชนยืนเถียงกับตำรวจ ชกต่อย ด่าว่ากัน นั่นเพราะคนไทยสะสมการรับรู้เรื่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่มานาน”

เขาย้ำว่าหากสถานการณ์คอร์รัปชันในไทยไม่เร่งแก้ไข ความรุนแรงอาจทวีขึ้นในอนาคตเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อประชาชนไม่รู้สึกว่าตนเองขาดที่พึ่งในกระบวนการยุติธรรม

“ตอนนี้แม้แต่ศาล ตำรวจ หรือระบบกฎหมายยุติธรรม คนก็ไม่เชื่อถือแล้ว เพราะตัวบุคคลมีการฉ้อโกงจนเป็นปกติ จึงทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นระบบไปด้วย” 

ดร.มานะ อธิบายว่า ธรรมชาติของคนไทยไม่นิยมการใช้ความรุนแรง การต่อต้านที่ผ่านมาจึงเกิดขึ้นเงียบ ๆ แต่เมื่อไหร่ที่สังคมเดินทางมาถึงจุดที่ผู้คนไร้ที่พึ่ง และความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นรุนแรงจนเกินเยียวยา แรงปะทะ จะปะทุขี้นเป็นทวีคูณ

เศรษฐกิจนอกระบบไทยพุ่ง 42.7% จีดีพี – ผลพวงคอร์รัปชัน ผู้มีอำนาจ

การคดโกงของผู้มีอำนาจ ถูกชี้ว่าเป็นรากเหง้าของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย และยังทำให้ประเทศต้องเผชิญกับปัญหา เศรษฐกิจนอกระบบ (informal economy) ขนาดมหาศาล จนติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก และมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

ข้อมูลจาก World Economics ระบุว่า เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีมูลค่าราว 42.7% ของจีดีพี หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณแผ่นดินถึง 2 เท่า 

เศรษฐกิจนอกระบบในไทย สัมพันธ์กับธุรกิจผิดกฏหมาย เช่น หวยเถื่อน บ่อน ซ่อง ยาเสพติด ค้ามนุษย์ อาวุธเถื่อน และการพนันออนไลน์


“เศรษฐกิจนอกระบบมันมีอยู่ทุกประเทศ แต่ควรอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 10% ของจีดีพี ไม่ใช่มากมายจนติดอันดับโลกอย่างที่เป็นอยู่ เพราะยิ่งมากเท่าไไหร่ ยิ่งก่อให้เกิดคอร์รัปชันและอาชญากรรมมากเท่านั้น” ดร.มานะ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

และยังอธิบายอีกว่า เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ดังกล่าว เชื่อมโยงโดยตรงกับ ผู้มีอิทธิพล และการเมืองภายใต้นายทุนพรรคบ้านใหญ่ ทำให้การเมืองเต็มไปด้วยการฉ้อฉล เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่เกรงกลัวในการรีดไถหรือทุจริต เพราะ “โกงทั้งระบบ” จึงทำให้ปัญหาลุกลาม

นอกจากนี้ ยังมีการโยกย้ายเงินผิดกฎหมายมหาศาลที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมและคอร์รัปชัน โดยข้อมูลเมื่อ 4–5 ปีก่อน พบว่าไทยมีการ ขนเงินออกนอกประเทศผิดกฎหมายปีละกว่า 4 แสนล้านบาท และมีการ นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาอย่างผิดกฎหมายปีละกว่า 2 แสนล้านบาท

เศรษฐกิจนอกระบบในระเทศแถบภูมิภาคเอชียแปซิฟิก
ที่มา : World economics


“ทั้งหมดนี้มันพัวพันกันหมด เศรษฐกิจนอกระบบ อาชญากรรม และคอร์รัปชัน หากรัฐยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ปัญหานี้จะกัดกร่อนประเทศไปเรื่อย ๆ” ดร.มานะย้ำ

CPI ไทยตกอันดับ 107 โลก เหตุนักวิชาการชี้รัฐไร้ความจริงจังต้านคอร์รัปชัน

จากรัฐบาลสมัย ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ มีการตั้งเป้าว่า ไทยต้องได้ดัชนีการรับรู้ทุจริต (CPI) เพิ่มขึ้นเป็น 50 คะแนน ภายในปี 2565 (จาก 38 คะแนน) เพื่อประกาศว่า “รัฐบาลนี้ไม่มีการทุจริต” โดยบรรจุไว้ในแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561–2580)

จนถึงยุคสมัยของรัฐบาล ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นอกจากจะไม่ได้ตัวเลขตามเป้าที่วางไว้แล้ว ซ้ำร้ายดัชนีการรับรู้ทุจริต ปี 2567 ยังเหลือเพียงแค่ 34 คะแนน (ลดลงจากปี 2565 ถึง 4 คะแนน) และถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก เรียกได้ว่า ยังคงแย่ทั้งคะแนนและลำดับ

จากข้อมูลข้างต้น นักวิชาการด้านต่อต้านคอร์รัปชัน มองว่า ทิศทางของสถานการณ์ทุจริตในไทยไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามที่รัฐบาลประกาศไว้เลย เพราะ หลักนิติรัฐ (Rechtsstaat) และหลักนิติธรรม  (Rule of Law) ของไทยได้พังทลายลงไปแล้วทั้งในสายตาของประชาชนและนานาชาติ 

ขณะที่เครื่องมือต่าง ๆ ที่รัฐจัดทำขึ้นเพื่อต่อต้านการทุจริตกลับไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้จริง

เครื่องมือต้านโกงที่รัฐทำมาตลอด ไม่ได้ถูกใช้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นน้ำเย็นหล่อเลี้ยงสังคมแต่กลับกลายเป็นความขุ่นมัวให้แก่สังคมแทน” ดร.มานะกล่าว

เขาย้ำว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง แม้เคยมีช่วงหนึ่ง (ปี 2558–2559) ที่สถาบันวิชาการภายในประเทศประเมินว่า สถานการณ์คอร์รัปชันไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ผลกลับไม่ยั่งยืน เนื่องมาจาก ความไม่จริงจังในการทำงาน และการขาดทิศทางในการปฏิบัติ

ดร.มานะระบุว่า ปัจจัยทั้งสองนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตาคนไทยเองและชาวต่างชาติเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐและกระบวนการยุติธรรมถูกบั่นทอนอย่างรุนแรง

จี้อนุทิน – เปิดเผยข้อมูลภาครัฐ อย่าให้ประชาชนอยู่บนความเคลือบแคลงสงสัย

สำหรับรัฐบาลใหม่ ดร.มานะ มองว่า ควรแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที ควรมีจุดยืนที่จับต้องได้ แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ หรือแสดงออกถึง political view ให้ประชาชนเห็น และชูให้การแก้ไข ปัญหาคอร์รัปชัน เป็น วาระแห่งชาติ

“ท่านควรหากลไกสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาชน เช่น ตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูแก้ปัญหาคอร์รัปชันเสียที หรือหากมีกลไกของภาครัฐใดที่หายไป ก็สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไข และใช้ใหม่ได้”

ดร.มานะ อธิบายว่า มีอีกสิ่งหนึ่ง ที่รัฐสามารถทำได้ทันทีและไม่มีต้นทุน คือ การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินโครงการของรัฐ

“ตอนนี้รัฐกำลังลงทุนโครงการอะไรอยู่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะอะไร ก็ขอให้เปิดเผยออกมาให้ชัดเจน ไม่ต้องรอให้สื่อไปเจาะหาความจริงขุดคุ้ย หรือรอให้ประชาชนมาร้องเรียน”

เช่น  กรณีของ กากแคดเมียม ที่ถูกขุด เคลื่อนย้ายออกจากหลุมฝังกลบถาวร จ.ตาก ไปเก็บไว้ที่โรงงาน-โกดังในจังหวัดสมุทรสาคร (บางส่วนในชลบุรี) 

เหตุการณ์นี้ สร้างความตระหนกให้ประชาชนอย่างมาก เพราะเดิมทีประชาชนเข้าใจว่าถูก ฝังกลบถาวร ไปแล้ว แต่ต่อมา กลับมีการ อนุญาตให้นำกากขึ้นมาเคลื่อนย้าย ออกจากบ่อฝังไปยังพื้นที่อื่น

นี่เป็นบทเรียนล่าสุดที่หน่วยงาน และรัฐ การเปลี่ยนวิธีการจัดการ โดยที่ประชาชนไม่ได้รับการสื่อสารล่วงหน้า

“อะไรที่กระทบประชาชน ขอให้รัฐรีบประกาศและอธิบายให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้คนรู้เอาเองทีหลัง เพราะจะยิ่งสร้างความไม่เข้าใจ และหวาดระแวง” ดร.มานะ ย้ำ

นอกจากปัญหากากแคดเมียมแล้ว ดร.มานะยังชี้ให้เห็นถึงปัญหา อาคารราชการที่ถูกทิ้งร้างทั่วประเทศ ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายแสนล้านบาท ว่าเป็นอีกปัญหา ที่ชี้ให้เห็นถึงการใช้งบประมาณที่สูญเปล่า ไม่คุ้มค่าและเกินความจำเป็น 

ดร.มานะ ให้ความเห็นว่า หากปล่อยให้เรื่องราวเหล่านี้ ตกอยู่ในความเคลือแคลงสงสัยของประชาชน โดยไม่บริหารจัดการ หรือปล่อยให้เป็นไปตามบุญกรรมเช่นนี้ ในอนาคต รัฐจะต้องเผชิญกับความสูญเสียมหาศาล

แต่หากจัดการตอนนี้ จะกลายเป็นประโยชน์ในอนาคต พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดนโยบายชัดเจน แก้ทั้งการก่อสร้างใหม่ที่เกินจำเป็น และการใช้ประโยชน์จากอาคารที่มีอยู่แล้ว

เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ยังย้ำว่า นับจากนี้ การก่อสร้างอาคารของรัฐต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี ไม่ใช่สร้างเพื่อความหรูหราเอื้อผู้มีอำนาจ โดยใช้เงินภาษีประชาชน ขณะเดียวกันต้องอธิบายแนวทางแก้ไขให้ประชาชนเข้าใจ และเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบ

เพราะปัญหาคอร์รัปชันและการใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่า ต้องแก้ไขด้วยการลงมือปฏิบัติจริง และประชาชนร่วมกำกับตรวจสอบทุกขั้นตอน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active