เห็นพ้อง กม.ชาติพันธุ์ สะท้อนความก้าวหน้า “ชาติพันธุ์ในสนามนโยบาย”

ร่วมจับตาหลากความท้าทาย ทั้ง การพิจารณาของ สส.เห็นตรงกับร่าง สว.เดินหน้าบังคับใช้หลังเปิดสภาฯหรือไม่ รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะ หวังทลายอคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์  ด้านคนรุ่นใหม่ที่สนใจความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เสนอเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วมร่วมเสนอนโยบายด้านชาติพันธุ์

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.68 ในงานเสวนา “ ชาติพันธุ์ในสนามนโยบาย : กระบวนการต่อรองเรื่องสิทธิและความเสมอภาคใน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ” ที่จัดโดย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสมาคมสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาสยาม ( สสมส.) สนับสนุนจากศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หรือ ศมส.โดยมี อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศมส. ดำเนินการเสวนา

ภาพจาก : คณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“ ภาคประชาชน เครือข่ายชาติพันธุ์ การขับเคลื่อนในสนามนโยบาย ”

นิตยา เอียการนา ผู้อำนวยการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย ( IMPECT ) หนึ่งในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง กม.ชาติพันธุ์ สส.และ สว. นำเสนอความก้าวหน้าชาติพันธุ์ในสนามนโยบาย กับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นร่างกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกที่ยื่นเสนอต่อสภาผู้แทนราษฏร

โดยย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนกฎหมาย จากเหตุผลสำคัญที่กลุ่มชาติพันธุ์มีปัญหาต่างๆ ปัญหาที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิและการพัฒนาด้านต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันในทุกกลุ่มชาติพันธุ์ทุกพื้นที่ ทำให้มีการต่อสู้เพื่อจะให้มีการรับรองสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง โดยการริเริ่มในระดับสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี 2525 กระทั่งสำนักงานใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้รับรองสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ผ่านตัวปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญให้ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกลุกขึ้นมาประกาศแสดงตัวตน 

โดยในประเทศไทย ก็ได้มีการรวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 2527 ทั้งรูปแบบสมัชชาชนเผ่าพื้นเมือง หรือว่าเครือข่ายต่างๆและในปี 2550 ที่สหประชาชาติได้มีการรับรองตัวปฏิญญาฯ ก็ได้มีการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ตอนนั้นได้ริเริ่มจากกลุ่มทางภาคเหนือก่อน และได้ขยับพบว่าพี่น้องชนเผ่ามีทั่วทุกภาค จึงลุกขึ้นมาแสดงตัวจนปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 46 กลุ่ม

เมื่อมีพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนสถานการณ์ แล้วเห็นตรงกันว่า ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง ไม่เช่นนั้นหลายชนเผ่าอาจจะไม่เหลือตัวตน อาจจะหายไป ยกตัวอย่าง เช่น ที่ จ.เชียงราย มีพี่น้อง “บีซู” ซึ่งมีเพียงแค่ 3 หมู่บ้านในประเทศไทย แต่กลับไม่กล้าบอกว่าเป็นบีซู และมักจะบอกว่าตนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลั๊วะ โดยชาวบ้าน 80-90 % แทบจะพูดภาษาตนเองไม่ได้แล้ว หลงเหลือแค่พิธีกรรมบางอย่าง แต่เมื่อมีพื้นที่พูดคุยกับชาติพันธุ์อื่นๆ และเห็นว่าในไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย จึงกล้าลุกขึ้นมาบอกว่า ตนคือชนเผ่าพื้นเมือง คือบีซู และเปลี่ยนป้ายหมู่บ้านเป็นชุมชนบีซู 

“  นี่จึงสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรเลย ชาติพันธุ์บีซูอาจจะหายไป หลายชนเผ่าอาจจะหายไปแล้วในสังคมไทย ก็อาจจะมีแค่ชาติพันธุ์เดียวหรือชาติติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งเท่านั้น ความหลากหลายทางวิถีวัฒนธรรม องค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ก็อาจจะหายไป “  นิตยากล่าว

ดังนั้นจึงต้องรวมกันเป็นรูปแบบสภาชนเผ่าพื้นเมือง ต้องมีกลไกในการพูดคุยเจรจาต่อรองในเชิงนโยบาย จนทำให้ปี 2553 มีการประกาศตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดกฎหมาย ที่ไม่ได้หวังไกลไปกว่าการให้มีกฎหมายมารับรองว่าในประเทศไทยมีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่ จึงพยายามพัฒนากฎหมาย มีการสื่อสารกับพี่น้องในพื้นที่ต่างๆให้ชุมชนตื่นตัวในการลุกขึ้นมาจัดการตนเอง โดยใช้ฐานของภูมิปัญญา ภูมิวัฒนธรรม ในการจัดการชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการทรัพยากร สุขภาพ เรื่องสุขภาพอนามัย การถ่ายทอดสืบทอดวัฒนธรรมตนเอง หรือลุกขึ้นมาฟื้นฟูกลไกตามธรรมชาติ หรือจารีตประเพณีของชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น

แต่ต้องยอมรับว่า การมีเพียงแค่ร่างกฎหมายเดียวที่เข้าไปไม่มีพลังมากพอ ยังไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก แต่หลังจากมีภาคีเครือข่ายเข้ามาร่วมด้วย มีร่างกฎหมายของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move  อะไรที่ขาดไปในร่างชนเผ่าฯ เราก็ไปเติมในร่าง P-move ได้มีการสร้างการมีส่วนร่วมในเครือข่ายมากขึ้น รวมไปถึงเรื่องของการสร้างความเข้าใจกับสังคม

และเมื่อเข้าไปสู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาฯ ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่ภาคประชาชนได้ไปมีส่วนร่วมในการเป็นกรรมาธิการ มีส่วนร่วมในการพิจารณากฎหมายของเราเอง  และได้เรียนรู้กระบวนการตรากฎหมาย ที่ไม่ได้มีความสำคัญแค่การเตรียมข้อมูลความจริงใจไปนำเสนอเท่านั้น 

“ ต้องยอมรับในแต่ละพรรคการเมืองต่างมีธงของตนมาทั้งนั้น เป็นเรื่องยากต่อการทำความเข้าใจหรือโน้มน้าวใจให้เข้าใจในเรื่องต่างๆ  จึงต้องมีกระบวนการสร้างความเข้าใจกันหลังบ้านควบคู่ไปด้วย จึงจะทำให้การพิจารณาแต่ละเรื่องผ่านไปด้วยดี ” นิตยา กล่าว

สุริยันต์ ทองหนูเอียด ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ( P-move ) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ กม.ชาติพันธุ์ สส.และ สว. ย้ำให้เห็นว่า การพิจารณาร่างกฎหมายในสภาฯ อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือตามต้นร่างได้ทั้งหมด เพราะร่างกฎหมายที่เสนอเข้าไปมีทั้งหมด 5 ฉบับ มีทั้งเรื่องที่ตรงกันและไม่ตรงกัน กรรมาธิการมาจากหลายพรรคก็มีมุมมองความเห็นไม่ตรงกัน จนสุดท้ายการพิจราณาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนหลายเรื่องสำคัญ ทั้งในบทนิยาม ปัดตกคำว่า สภาชนเผ่าพื้นเมือง ,การเปลี่ยนคำ ว่า “ธรรมนูญ” เป็น “ ข้อกำหนด” ซึ่งจริงๆเรื่องนี้ถกเถียงกันเยอะมาก เพราะธรรมนูญในมิติของฝ่ายที่กังวล หรือ มองในมิติความมั่นคง ก็มองไปถึงจะมีการร่างธรรมนูญปกครองตนเอง คิดกันมากเกินไป ขณะที่ประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ ยืนยันเป็นธรรมนูญชุมชน ข้อตกลงร่วมกันในการมีส่วนร่วมดูแลจัดการทรัพยากกรของชุมชนดั้งเดิม และอีกเรื่องที่อาจไม่ตรงตามที่วางไว้ คือพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องไม่กระทบกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

“ สิ่งที่เราปะทะ 1.คือความมั่นคงของรัฐ 2.คือหน่วยงานที่บอกเป็นเจ้าของพื้นที่ เพราะชาติพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อุทยานฯประกาศทับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่มีทางยอมให้ใช้อย่างง่ายดาย ส่วนคนที่มาสนับสนุน ทั้ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ อันนี้ก็ยังเป็นความท้าทาย ว่า แม้กฎหมายจะออกมาแล้ว จะสามารถดำเนินการได้มากน้อยเท่าไหร่ ” สุริยัน กล่าว

ภาคการเมืองชี้ ยังต้องสร้างความเข้าใจอีกมาก เพราะสังคมบางส่วน ยังมอง “ชาติพันธุ์ คือต่างด้าว”

ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ด้วยเป็น ส.ส.จังหวัดเชียงราย มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างมาก เห็นปัญหาต่างๆมากมาย จึงคิดมาตลอดว่า ถ้าตนได้มีโอกาสเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ อยากจะขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ซึ่งตั้งแต่สมัย นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ตนได้เข้าไปเสนอกับพรรคเพื่อไทยว่า ถ้าเสียงของกลุ่มชาติติพันธุ์ดังมาถึงพรรคเพื่อไทย ถึงรัฐบาล ขอเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่จะมาขับเคลื่อนเรื่องนี้ จนมีโอกาสเข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฏหมายนี้ ในระหว่างที่ทำหน้าที่ก็เห็นว่ามันมีความไม่เข้าใจต่อกลุ่มชาติพันธ์ุหลายเรื่องอย่างมาก จึงเป็นโจทย์ที่ต้องนำงานวิชากราเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกลุ่มชาติพันธ์ุสำหรับทุกทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพิจารณากฎหมายเอง สังคม และสื่อมวลชน

“ เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่ายังมีคนที่ไม่เข้าใจว่าชาติพันธ์ุไม่ใช่ต่างด้าว บางทีลงพื้นที่ไปก็ยังมีคนที่ถามว่าจะทำกฎหมายให้กับต่างด้าวหรือ ให้กับพม่าหรือ เราก็ต้องบอกว่าใจเย็นๆ เป็นการคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธ์คือพ่อแม่พี่น้อง ที่มีประวัติศาสตร์ มีความสวยงามทางด้านภาษา วิถีชีวิตประเพณีวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย เป็นต้นทุนของไทย ดังนั้นไม่ใช่ต่างด้าว ก็พยายามที่จะทำความเข้าใจค่อนข้างหนัก อันนี้จึงเป็นโจทย์ที่เราจะต้องขอความร่วมมือความเข้าใจต่อสังคม ” ปิยะรัฐชย์ กล่าว

นี่จึงเป็นหรือเป็นความยาก ต้องยอมรับก่อนว่าสังคมเราคิดกันไม่ตรงกัน 100% หน้าที่ของเรา และโจทย์ของเรา จะต้องทำข้อมูลให้เขาเข้าใจให้ถูกต้อง โดยมีข้อมูลวิชาการมาหนุนเสริม

และด้วยความที่ตนเอง ต้องทำงานกับทุกฝ่าย ไม่ได้ทำงานแค่กับพรรคเพื่อไทย หรือทำงานกับพรรคประชาชน รวมทั้งทำงานแค่กับภาคประชาชน แต่ตนต้องคุยกับทุกพรรคการเมืองในสภาฯ หรือแม้แต่พรรคการเมืองที่ไม่มี สส.ในสภาก็เชิญมาทำความเข้าใจ อันนี้ทำให้เห็นว่ามันคือความร่วมมือของหลายภาคส่วนจริงๆ

ขอยืนยันว่าในส่วนของเราเองจะเดินหน้าต่อ กฎหมายฉบับนี้ผ่าน สว.มาแล้วก็จะเข้า สส.อีกรอบ ซึ่งมองว่ามันอาจจะไม่ครบถ้วนในประเด็นที่พ่อแม่พี่น้องชาติพันธุ์ต้องการทั้งหมด อาจจะมีการตัดทอนมีการปรับแก้เปลี่ยนปรับเพื่อให้คนในสังคมเข้าใจในเบื้องต้นก่อน และอยากให้เข้าใจนี่ยังไม่ใช่ก้าวสุดท้ายของพ่อแม่พี่น้องชาติพันธุ์อย่างแน่นอน มองว่าเรายังสามารถที่จะเพิ่มเติมปรับเปลี่ยนในอนาคตได้

“ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ค่อนข้างสำคัญ เรายังเป็นอีกหนึ่งคนที่ยังเดินหน้าผลักดันเรื่องของพี่น้องชาติพันธุ์อย่างแน่นอนต้องการทำให้พี่น้องชาติพันธุ์ของเราอยู่ในระดับสายตาระดับเดียวกันของคนในสังคมให้ได้ ย้ำว่า เราไม่ได้ให้อภิสิทธิ์กับพ่อแม่พี่น้องชาติพันธุ์เกินกว่าคนอื่นอื่น แต่เราต้องการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์เข้าถึงสิทธิที่พึงมีมาตั้งแต่ต้นอยากให้เขาถึง ให้รับรู้เข้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ ” ปิยะรัฐชย์ กล่าว

ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะอดีตรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องของสนามการต่อสู้ในสภาฯเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ที่ยากต่อการทำความเข้าใจในระยะสั้น

แต่ด้วยความที่เติบโตมาจากพรรคอนาคตใหม่ จนเป็นพรรคก้าวไกล สิ่งที่เรา commit กับพี่น้องประชาชนมาอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นคือการมีปีกชาติพันธุ์ มี สส.ชาติพันธ์ มี สส.ม้ง สส.ปกาเกอะญอคนแรก ซึ่งตอนแรกเสื้อชาติพันธุ์ที่เขาใส่เข้าสภาฯ ถูกตั้งคำถามจากเพื่อนสมาชิกว่าการแต่งกายแบบนี้ เป็นการแต่งกายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ เพราะมันมีระเบียบแบบนั้นอยู่ อย่างไรก็ตามนั่นคือสนามต่อรองที่พรรค Commit มาตั้งแต่ต้น ว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องของชาติพันธุ์

แน่นอนว่าการให้ความสำคัญ ไม่สามารถที่จะปรับกันได้ กฏหมายจึงเป็นเงื่อนไขที่ตามมา ก็ต้องตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้องไม่ใช่ว่าเราจะสยมยอมแบบใดอย่างไร ยกตัวอย่างวันนี้ต้องยอมรับว่า คำว่าชนเผ่าพื้นเมือง ไม่มีอยู่ในร่าง พ.ร.บ.ที่พิจารณาอยู่แล้ว และ สว.ยังไปแก้ว่าต้องเป็นชาวไทย และประโยคสุดท้ายปิดท้ายด้วยว่ามีความสัมพันธ์ภายในสังคมไทย พูดง่ายง่ายเหมือนเป็นการผลักประชาชนออกไปอีกหรือไม่

“ จึงคิดว่า ในแง่สำคัญของการผลักดันทางการเมือง สำคัญที่สุดคือ Commit และให้เกียรตินะ ผมพูดมาโดยตลอด ว่า นายกฯเศรษฐา ทวีสิน มีบทบาทสำคัญในการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมและกฎหมายชาติพันธ์ุ อันนี้แสดงให้เห็นว่าเจตจำนงทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ เทียบกับสนามสังคมและมนุษยวิทยาวิทยาของท่าน ว่า แล้วเจตจำนงทางการเมืองเราจะยอมรับความเป็นมาลายู มุสลิม ความมีรัฐปาตานีในประเทศไทยหรือไม่ เพราะว่าไม่ใช่แค่กฎหมายชาติพันธุ์ ขณะนี้มีรายงานอีกฉบับหนึ่ง ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ” ณัฐวุฒิ กล่าว

ประการที่สองจำเป็นต้องพูดถึงว่าแม้จะมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างเดียวคงไม่พอ ความรู้คือเรื่องสำคัญและอยากจะบอกทุกท่านว่า สส.ไม่ได้มีความรู้ประสบการณ์ในทุกเรื่อง และส่วนใหญ่ไม่ได้รู้ด้วย แต่สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้น คือจะทำอย่างไรให้ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มพ่อแม่พี่น้องชาติพันธุ์ ไปส่งเสียงแทนท่านได้ เราจะสยบยอมหรือเราจะต่อรอง หรือเราจะยอมได้แค่ไหน ถ้าเนื้อหาของกฎหมายเรานั้น ไม่ได้ออกมาตอบสนองต่อสิทธิของพี่น้องอย่างแท้จริง

อาจมีคำถาม ว่าแล้วใครกันล่ะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ที่เขาควรจะมีสิทธิ์ในการกำหนดเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเคสแบบนี้พี่น้องชาติพันธุ์ไม่ใช่เหรอ ที่ควรจะมีส่วนสำคัญที่สุดในการจะบอกว่ากฎหมายนี้ดี หรือกฎหมายที่กำลังจะพูดถึงการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตของพวกเขาควรจะออกมาหน้าตาอย่างไร

ณัฐวุฒิ ยังยกตัวอย่าง เคสเด็กปกาเกอะญอ ชายแดนสังขละบุรี โดยเด็กป่วยตาเลือนลาง เวลาจะรักษาต้องขออนุญาตนายอำเภอทุกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆไม่มี ทางเราจึงเรียกร้องหลายฝ่าย กระทั่งรับรองสถานะ ได้มารักษาที่ กทม.แต่กว่าจะมาได้เกือบ 2 ปี หมอบอกว่า เขาตาบอดแล้ว สะท้อนว่า 2 ปีที่เสียไป เพราะรัฐละทิ้งประชาชนที่อยู่ในประเทศ เห็นหรือไม่ว่ามันสูญเสียขนาดไหน แล้วเราจะปล่อยให้มันสูญเสีย ในเงื่อนไขที่กฎหมายนี้ยังไม่ออกอีกหรา

“ ผมไม่ Commit ว่า พรรคประชาชน จะโหวตอย่างไรกับร่าง สว. แต่เรายืนบนหลักที่คิดว่า อะไรที่เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชาติพันธุ์ที่สุดในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของสิทธิ มันควรเป็นหรือมาจากการตัดสินใจของพี่น้องเหล่านั้น กฎหมายเขียนโดยคน แต่สิทธิคือความเป็นจริง ” ณัฐวุฒิ กล่าว

งานวิชาการ หนุนเสริมความเข้าใจ ผลักดันนโยบายสร้างการยอมรับ “ความเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์เท่าเทียม”

ผศ. สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกมองไม่เห็น แต่เป็นพลเมืองที่ยังไม่เสร็จ คือ ไม่มีสิทธิ เข้าไม่ถึงสิทธิ ถูกกักขังให้อยู่สภาวะพลเมืองไม่เสร็จ ถ้ามีกฎหมายชาติพันธุ์ เราจะเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์เท่าเทียม แต่เราถูกทำให้เป็น พลเมืองชั้น 2,3 ดังนั้น โจทย์คือเราจะทำให้พลเมืองที่มีความแตกต่างนี้ เป็นพลเมืองที่สมบูรณ์อย่างไร

“ สิ่งที่ทำจึงเป็นการสนับสนุน การใช้สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาต่อกลุ่มชาติพันธุ์ พบว่า ปัญหาสำคัญคือ ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ มองมิติความเสี่ยงต่อความมั่นคงรัฐ มีรัฐตามกระแส หรือชุดความรู้ที่ไม่รู้จัก พอไม่รู้ ก็จะถูกกันว่า นั่นไม่ใช่สังคมไทย ดังนั้นต้องใช้การรื้อถอน การรับรู้ความเข้าใจแบบนี้ จะต้องสร้างพื้นที่การไม่รู้ ไปสู่สังคมรับรู้ร่วมกันอย่างไรก็ตาม ต้องใช้ข้อมูลวิชาการรื้อถอนหักล้างสิ่งเหล่านี้ ” ผศ.สุวิชาน กล่าว

ในการสร้างการรับรู้ใหม่ ต้องใช้พื้นที่รูปธรรม สำคัญคือต้องไปค้นหาพื้นที่เหล่านั้น ให้เครือข่ายจัดทำข้อเสนอ เข้าไปสู่สนามนโยบาย การโน้มน้าวไม่ใช่แค่สนามนโยบาย ควบคู่สื่อสารต่อสาธารณะ เพื่อสร้างนโยบายสอดรับอุดช่องว่างการเป็นพลเมืองไม่สำเร็จ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ “ เปลี่ยนจากมติ ครม.เดิมที่ใช้คำว่า พื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรมพิเศษ และเอาพื้นที่รูปธรรม มาหักล้างรื้อถอนให้เดินต่อไปได้ นี่คือวิธีวิทยาในสนามนโยบาย

ภาพจาก : คณะสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คนรุ่นใหม่ เรียกร้องเปิดพื้นที่ทางนโยบาย ให้เยาวชนมีส่วนร่วมเสนอ “นโยบายด้านชาติพันธุ์”

ในช่วงท้ายของเวที ได้มีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็น โดยตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า ปัญหาของชาติพันธุ์ยังมีอีกหลากหลายมิติ ที่ตนสนใจและมองว่าควรให้ความสำคัญ คือเรื่องความรุนแรงในเด็ก ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง คำถามสำคัญคือในขณะที่ร่างกฏหมายกำลังจะออกมา ตอนนี้เด็กกำลังเจออะไรบ้าง ในฐานะที่ตนขับเคลื่อนในเรื่องของปัญหาความรุนแรงในเด็กโดยเฉพาะในเด็กชาติพันธุ์และเด็กโยกย้ายถิ่นฐาน เรื่องไม่มีสัญชาติและสวัสดิการอะไรก็เข้าไม่ถึงอยู่แล้ว แต่ที่น่าห่วงคือเรื่องที่มีผลต่อการทำให้เกิดความรุนแรงในเด็กจากการไล่ที่ ซึ่งตนเคยเสนอต่อกรมกิจการเด็กและเยาวชนถึงปัญหา แต่ยังไม่มีความคืบหน้า

ซึ่งปัญหาใหญ่ไม่ใช่แค่ไม่มีที่อาศัยที่ทำกิน ความรุนแรงมันเกิดหรือกระทบตั้งแต่เขาสูญเสียที่ทำกินหรือถูกไล่ออกมา ต่อมาในขณะที่เขาต้องโยกย้ายถิ่นฐาน ความรุนแรงเกิดได้ตลอดเวลา น่ากังวลคือเด็กที่พิการ เด็กผู้หญิง พอไปถึงที่ปลายทางพื้นที่ใหม่ วิถีชีวิตใหม่ ก็อาจจะไม่เหมือนเดิม พ่อแม่อาจต้องย้ายไปทำงาน กระบวนการเลี้ยงดูทดแทนเด็กดีแล้วหรือยัง เรื่องของการเลือกปฏิบัติในพื้นที่ใหม่เป็นอย่างไร รวมถึงปัญหาการสูญเสียตัวตน ในฐานะที่เด็กเป็นหนึ่งในผู้ได้รับความรุนแรงโดยตรง จะมีส่วนร่วมอย่างไรในเรื่องของนโยบายกระบวนการนโยบาย

“ ตรงส่วนนี้เขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง ก็มีกลุ่มน้องน้องถามว่าอยากร่วมด้วยนะ แต่ว่าไม่รู้จะเข้าไปได้ยังไง เพราะเขาก็ยังไม่มี อาจจะติดเรื่องเอกสารเรื่องของฉันสัญชาติอะไรประมาณนี้ด้วย อยากให้แก้ปัญหา อยากให้เปิดพื้นที่ให้เด็กเข้าไปมีส่วนร่วมทางนโยบายด้วย ”

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active