แรงงานกัมพูชาหวั่นความปลอดภัยเดินทางกลับประเทศ เริ่มกระทบนายจ้าง

ลูกจ้างกัมพูชาถูกทำร้าย ปมเหตุปะทะไทยกัมพูชา นายจ้างแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดเป็นกรณีตัวอย่างเพื่อคุ้มครองแรงงาน วอนรัฐบาลขยายเวลาต่อใบอนุญาต ลดผลกระทบนายจ้าง เศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 27 ก.ค.68 ที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี กลุ่มนายจ้างที่ใช้แรงงานข้ามชาติ (โครงการนายจ้างสีขาว) และนายจ้างของแรงงานชาวกัมพูชาที่ถูกทำร้ายร่างกาย บริเวณซอยกีบหมู เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นตัวแทนเดินทางมาแจ้งความคดีทำร้ายร่างกาย เนื่องจากแรงงานบางคงถูกทำร้ายจนเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าแจ้งความ และได้เดินทางกลับไปยังประเทศกัมพูชาแล้ว ซึ่งในการพูดคุยกับนายจ้าง ผู้ก่อเหตุยอมรับคำสารภาพ ว่าลงมือทำไปเพราะมีแรงจูงใจจากเพจข่าว การถูกยุยงปลุกปั่นในโลกออนไลน์ เมื่อในโลกออนไลน์มีการนัดรวมตัวกันที่ซอยกีบหมู จึงไปร่วมด้วย และยอมรับว่าสิ่งที่ทำไปนั้นรุนแรงเกินกว่าเหตุ

ด้าน ธนชาติ จิตรสกุล ซึ่งเป็นหนึ่งในนายจ้างของแรงงานกัมพูชาที่ถูกทำร้าย บอกกับ The Active ว่า จากที่ลูกจ้างแจ้งมาก็รู้สึกเป็นห่วง ลูกจ้างบอกว่ามีกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาทำร้าย จำนวนไม่น้อย รถมอเตอร์ไซค์เกือบ 20 คัน บางส่วนมีการตามไปบุกที่พักของคนงาน ซึ่งคนงานที่โทรมาบอกก็รู้สึกหวาดกลัวมาก และในตอนนี้แรงงานที่ตนดูแลอยู่ได้เดินทางกลับประเทศหมดแล้ว ทำให้กระทบในหลาย ๆ ด้าน ทั้งค่าขึ้นทะเบียนแรงงาน ค่าใบอนุญาตทำงาน และเงินประกันที่จ่ายไปแล้ว ซึ่งมีการสำรองจ่ายบ้าง และเก็บเงินจากคนงานบ้าง

“เงินที่จ่ายไปก็มีจำนวนเยอะ แต่จะสามารถหมุนได้ ถ้ามีคนทำงาน ส่วนตอนนี้ก็กระทบกับธุรกิจ เพราะในเมื่อไม่มีคนทำงานก็ไม่มีเงินหมุนเวียนเข้ามา”

และก็ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าเมื่อขึ้นทะเบียนแรงงาน จ่ายค่าใบอนุญาตแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ต้องพาแรงงานไปต่อวีซ่า ซึ่งอยู่ในช่วงขออนุมัติวีซ่าจัดหางาน แต่คนงานตอนนี้กลับบ้านไปแล้ว จึงทำให้ต่อวีซ่าไม่ได้แน่นอน วันสิ้นสุดในการต่อใบอนุญาตครั้งนี้คือวันที่ 13 ส.ค. นี้ ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่แรงงานจะกลับมาในช่วงเวลานั้น เนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกปกติ

ในส่วนของการดำเนินคดี หากย้อนกลับไปดูภาพที่เกิดเหตุจะมี 2 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพาไปตรวจสุขภาพเพื่อที่จะนำมาประกอบการดำเนินคดี ซึ่งก่อนหน้านี้อีกคนหนึ่งยังไม่เดินทางกลับทำให้มีแรงงานคนนี้เดียวที่สามารถดำเนินคดีต่อได้ หลังจากให้การกับตำรวจแล้วเขาก็เดินทางกลับ นายจ้างมีหน้าที่ในการตามเรื่องต่อ

จริง ๆ การทำร้ายร่างกายในวันนั้นไม่ได้มีแค่จุดเดียว แต่เมื่อแรงงานกลับไปหมดแล้วก็เลยไม่มีเจ้าทุกข์ที่จะดำเนินคดีแล้วก็ร้องเรียน ณ วันนี้มีคดีแค่หนึ่งคนเท่านั้น

“จากเหตุการณ์นี้ทำให้แรงงานไม่สบายใจที่จะอยู่ แม้จะเป็นคนงานที่ไม่ได้อยู่ในซอยกีบหมูก็ตาม แล้วจากข่าวที่เกิดเนื่องจากคนงานที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันพอเห็นคนอื่นเดินทางกลับ ทางญาติก็อยากจะให้กลับเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย”

ตามตัวกฎหมายสามารถคุ้มครองแรงงานได้ แต่ในหน้างานจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ทำให้นายจ้างเองไม่มีความแน่ใจว่าคุ้มครองแรงงานได้จริง

อยากจะฝากถึงรัฐบาลว่า การต่ออนุญาตของแรงงานที่ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลขยายเวลาในการต่อใบอนุญาต  จนกว่าแรงงานกลับมา เมื่อแรงงานกลับมาแล้วเราก็จะสามารถดำเนินการต่อได้ ส่วนนายจ้างบางคนที่ยังไม่จ่ายค่าใบอนุญาตทำงานของแรงงาน ถ้าเกิดเขาไปจ่ายแล้ว แต่รัฐบาลไม่ยืดเวลาให้ ก็อาจจะเป็นการจ่ายไปอย่างเปล่าประโยชน์

ด้าน นิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว บอกว่า ในกรณีการทำร้ายร่างกายแรงงาน นายจ้างจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะไม่เช่นนั้นประชาชนหรือเยาวชนจะทำตาม ไม่อยากเป็นการไกล่เกลี่ยที่แค่มอบกระเช้าขอโทษแล้วก็จบแค่นั้น

ทางตัวนายจ้างเองที่เป็นคนดูแลแรงงานตามกฎหมาย ก็มีสิทธิ์ที่จะตามเรื่องคดีต่อจนถึงที่สุด ส่วนตอนนี้ก็เป็นขั้นตอนของทางตำรวจ ตรงนี้ก็จะเป็นไปตามขั้นตอนในเรื่องของหลักฐาน และศาลต่อไป

ส่วนตัวมองว่า พอเหตุที่เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ก็อยากจะให้หน่วยงาน รัฐบาลออกมาประกาศเตือนค่อนข้างไวกว่านี้ รวมถึงกระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจต่าง ๆ จะต้องลงตรวจตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เหตุการณ์อยู่ในความสงบเรียบร้อย

เรื่องนี้ควรจะเป็นเยี่ยงอย่างให้กับประชาชนว่าการเสพสื่อโซเชียลควรจะต้องไตร่ตรอง และมีทัศนคติที่เป็นกลาง ไม่ออกมาในรูปแบบที่โดนยั่วยุง่าย จนพาลไปถึงเรื่องของคำว่ารักชาติ ซึ่งควรจะแสดงออกในลักษณะอื่น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active