แนะรัฐ ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษา ลดความขัดแย้ง เป็นพลเมืองเกื้อกูล เคารพความแตกต่างในอนาคต

วันนี้ (24 ก.ค.68) มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น “การศึกษาเพื่อทุกคนและประเทศไทยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จริงหรือ” นำเสนอสถานการณ์การจัดการศึกษาแก่เด็กข้ามชาติ และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อค้นหาแนวนโยบายและการปฏิบัติที่ดีเหมาะสมและสอดคล้องต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กข้ามชาติ ที่จะเป็นการอยู่ร่วมกันในสังคมอาเซียนที่เกื้อกูลต่อพลเมืองอาเซียน
ทั้งนี้เครือข่ายยังระบุว่า เวทีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังตัวแทนสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้มีการแถลงจี้รัฐบาลพิจารณาปรับลดโครงการความช่วยเหลือด้านการศึกษาที่ไทยมอบให้กับเด็กต่างด้าว หรือเด็กข้ามชาติโดยทั่วไป และพาดพิงไปยังกลุ่มเด็กกัมพูชา โดยอ้างเหตุความรุนแรงชายแดนกระทบต่อความสัมพันธ์และงบประมาณ

นักสิทธิมนุษยชน ชี้ ตัดงบการศึกษาเด็กข้ามชาติ ไทยเสียมากกว่าได้
ทิรัตน์ ผลินกูล หัวหน้าโครงการศูนย์แบ่งต่อ มูลนิธิกระจกเงา เล่าจากประสบการณ์ที่เคยนำสิ่งของ เครื่องใช้ บริจาคภายในศูนย์อพยพในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บอกว่า แม้สถานการณ์ตามแนวชายแดนจะสงบลง และมีการสั่งปิดศูนย์อพยพชั่วคราว แต่ผลกระทบจากข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาจะยึดที่ดิน เพิกถอนความเป็นพลเมืองกัมพูชาจนแห่พาครอบครัวย้ายกลับประเทศ และการปิดด่านชายแดน ส่งผลทำให้เด็กจากกัมพูชาไม่สามารถข้ามมาเรียนในฝั่งไทย และกลับไปเรียนในโรงเรียนในกัมพูชาไม่ได้เช่นเดียวกันเนื่องจากหลายคนพูดภาษากัมพูชาไม่ได้แล้ว
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เด็กกัมพูชาอาจหลุดจากระบบการศึกษา รวมถึงความปลอดภัยจากการอยู่ใกล้ชุมชนบริเวณแนวปะทะ ส่วนเด็กกัมพูชาที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่น เด็กแรงงานข้ามชาติ เด็กผู้ลี้ภัย หรือเด็กที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่กำลังศึกษาในโรงเรียน หรือศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ ยังมีความหวาดกลัวในการไปโรงเรียน หรือผู้ปกครองสั่งให้หยุดเรียนชั่วคราว เนื่องจากกังวลด้านความปลอดภัยจากกระแสข่าวที่พลเมืองของทั้งสองประเทศกล่าวหา โจมตีกันไปมาผ่านสื่อ และโซเชียลมีเดียต่างๆ อาจทำให้ความอคติทางเชื้อชาติเกิดขึ้น
แม้จะเชื่อว่ากระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงรัฐบาล จะไม่ดำเนินการตัดงบฯ การศึกษาตามที่ตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาได้เสนอ แต่การยกคำกล่าวอ้าง เช่น ไทยแบกรับค่าใช้จ่ายดูแลเด็กต่างด้าวกว่า 108,000 คน ปีละราว 837 ล้านบาท สูงกว่าเด็กไทย ทั้งที่หลายประเทศพัฒนาแล้วดูแลเฉพาะผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายเป็นการเพิ่มให้เกิดความเกลียดชังในสังคม ซึ่งตัวแทนวุฒิสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชนไม่ควรมีแนวคิดเช่นนี้เกิดขึ้น
“การตัดงบฯ เพียงเล็กน้อยไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่จะตามมา จึงเชื่อว่ารัฐบาลไทยไม่น่าจะทำเช่นนั้น แต่การเสนอแนวคิดดังกล่าวของ สว.เป็นการเพิ่มความเกลียดชังในสังคม อาจทำให้เด็กกัมพูชาเกิดความกลัว และไม่อยากไปโรงเรียน”
ทิรัตน์ ผลินกูล

ขณะที้ รศ.โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชน และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวย้ำว่า ที่ตนเองมาวันนี้เนื่องจากคนบอกตนเองว่างบฯ การศึกษาที่จะจัดสรรให้เพื่อการศึกษาถ้วนหน้าโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ เชื้อชาติ เพศ ผิวพรรณ อาจจะถูกตัดงบฯ ตนเองจึงอยากเรียกร้องว่าเราต้องไม่ทิ้งเด็ก และเยาวชน โดยเฉพาะเพื่อให้มีโอกาสเข้าสู่การศึกษา เพราะตอนนี้ร่างกฎหมายงบประมาณปี 69 อยู่ในชั้น สว. หากต้องตัดส่วนไหนส่วนหนึ่ง ก็ขอว่าอย่าตัดในส่วนนี้ เพราะเทียบกับส่วนอื่นๆ แล้ว การศึกษาแบบถ้วนหน้านั้นใช้งบฯ ไม่มาก และมีความคุ้มค่า
ทั้งนี้ประเทศไทยยังให้สัตยาบันอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ต้องคุ้มครองเด็กให้สวัสดิการและการศึกษาแก่เด็กโดยไม่สนเชื้อชาติ แต่ในรัฐธรรมนูญเขียนว่าเป็นสิทธิของปวงชนชาวไทย ดังนั้นตนเองอยากให้การศึกษาของประเทศไทย ใช้มาตราของรัฐธรรมนูญที่เราไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ได้หรือไม่ เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น พร้อมเปรียบประชาคมอาเซียน เป็นเหมือนการอยู่ในหมู่บ้าน เราจะล้อมรั้วอยู่แต่บ้านเดียวหรือจะเปิดไปสู่บ้านใกล้เรือนเคียง เราจะอบรมแค่เด็กในบ้าน ส่วนบ้านใกล้เรือนเคียงจะเกเรอย่างไรก็ช่างเขา แต่ในความเป็นจริงหากปล่อยไปแล้วจะไม่กระทบเราจริงหรือไม่ หมู่บ้านแบบนี้จะไม่มีความสงบสุข จะสร้างหมู่บ้านอาเซียนได้ยาก
“อยากขอร้องถึงท่าน สว. ตามหลักท่านเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย อย่าไปฟังโผใดๆ อย่าไปคิดว่าเงินที่ใช้ไปแล้วจะเสียประโยชน์ หรือเด็กไม่รู้บุญคุณ แต่ฟังจิตสำนึกของท่านว่า เด็กนั้นสำคัญมาก กรุณาในขอบเขตที่เราทำได้ ถ้าเด็กมีการศึกษา อนาคตร่วมกันของเราจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
รศ.โคทม อารียา

ขณะที่อังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวย้ำว่า สว.ไม่มีอำนาจในการตัดงบฯ การทำได้คือการตั้งข้อสังเกตกระทรวงต่างๆ แต่บรรยากาศที่ตนเองรู้สึกในฐานะที่เป็น สว. และคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน รู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เพราะเรามักจะได้ยินข่าวการไล่จับแรงงานข้ามชาติ ปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ หรือการเรียกแรงงานข้ามชาติว่าเป็นคนต่างด้าว ทั้งที่ในทางสิทธิมนุษยชนจะเรียกว่า คนข้ามชาติไม่ได้แปลกประหลาด ซึ่ง สว. จะมีคนที่มองว่าถ้าไม่ใช่คนไทยก็ไม่ควรเข้ามาใช้ทรัพยากรไทย จะเห็นได้ชัดในการพิจารณาเรื่องกฎหมายชาติพันธุ์
พร้อมสะท้อนว่าในรัฐธรรมนูญไทย มีบทบัญญัติที่จะให้สิทธิเฉพาะกับคนไทย และบุคคลทั่วไปแยกกัน แต่สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย สิทธิในการมีชีวิตเป็นของคนทุกคน สิ่งที่ต้องการสื่อสารคือเด็กไม่สามารถเดินข้ามประเทศเข้ามาเองได้ แต่จะเป็นผู้ติดตามผู้ปกครองเข้ามาทำงาน หนีภัยสู้รบ หนีภัยสงครามเข้ามาด้วย ซึ่งเด็กมีสิทธิที่จะได้รับการเลี้ยงดูจากแม่ ซึ่งในการทำงานของนักสิทธิมนุษยชนจะพยายามบอกกับรัฐเสมอว่าไม่ใช่ไปจับแม่ในฐานะเข้าเมืองผิดกฎหมายแล้วจำเป็นที่จะต้องขังลูกด้วย ขณะที่รัฐบาลมีการทำ MOU ร่วมกับ 7 กระทรวง เรื่องการยุติการกักเด็กในห้องกัก เด็กต้องมีสิทธิอยู่ในชุมชน มีสิทธิได้รับการศึกษา และมีสิทธิที่จะได้เรียนภาษาแม่ ซึ่งทุกวันนี้ภาษาแม่กำลังจะหายไป
ขณะที่ความก้าวหน้าด้านสิทธิเด็กของไทย อังคณากล่าวว่า มีความก้าวหน้าไปมาก เช่น รัฐบาลไทยร่วมลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก พ.ศ.2535 ,พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ,สัตยาบันพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาสิทธิเด็กสามฉบับ (เด็กในพื้นที่ขัดแย้งทางอาวุธ การแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก การร้องเรียนของเด็ก)
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะให้คำมั่นมากมายในเวทีโลก แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติยังไม่เคยเห็นกระทรวงการต่างประเทศออกยืนยันคำมั่นเมื่อเกิดกรณีเด็กข้ามชาติ อีกทั้งประเทศไทยยังได้ถอนข้อสงวนอีกหลายข้อ เช่น การจดทะเบียนของเด็กข้ามชาติและการศึกษาของเด็ก และยังไม่ยอมรับสัตยาบันของผู้ลี้ภัย ที่จะมีสิทธิอยู่ในประเทศได้ แต่ถึงแม้ประเทศไทยจะไม่ยอมรับแต่เด็กที่ลี้ภัยมากับผู้ปกครองไม่ได้มีความผิด ดังนั้นจึงต้องคุ้มครองเด็กทุกคนในประเทศนี้
“ไม่ว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศอย่างไรเด็กต้องมีสิทธิในการเข้าถึงระบบการศึกษา เมื่อกลับไปต้นทางเด็กต้องสามารถเรียนต่อได้ พูดภาษาแม่ได้ มีมนุษยสัมพันธ์กับชุมชนได้ และไม่ควรมีการผลักดันกลับประเทศ โดยเฉพาะช่วงสงครามทางอาวุธยิ่งต้องระมัดระวัง เสี่ยงที่เด็กจะได้รับอันตราย”
อังคณา นีละไพจิตร

“กัณวีร์” ชี้ ไทยมีหลักการชัดเจน แต่ขาดเจตจำนงทางการเมือง
กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่ยอมรับว่า ทุกคนเชื่อมั่นเรื่องการศึกษาสำหรับเด็กทุกคน (Education For All) เป็นหลักการและเหตุผลที่เราเชื่อมั่น แต่ในทางปฏิบัติทำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันชายแดนไทย – กัมพูชา คำว่า “เรากับเขา“ จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น พร้อมยกตัวอย่างที่ตนเองอยู่ชายแดน ไทย – เมียนมา มีศูนย์การเรียนรู้เด็กข้ามชาติ (MLC) ค่อนข้างเยอะแต่ยังไม่ได้รวมเข้ากับระบบของประเทศไทย ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย ถูกปิดไปค่อนข้างมาก และไม่มีพื้นที่ในการสามารถไปศึกษาได้ตามระบบการศึกษาไทย
ทั้งนี้กัณวีร์ กล่าวว่า ตนเองเคยพูดในชั้น สส. ว่าเรามี MLC อยู่แล้ว ทำไมรัฐบาลไทยไม่รวมข้อมูลร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ใช้นโยบาย Education For All ให้ทุกคนได้เข้าถึงเรื่องการศึกษาเท่านั้น ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณซ้ำซ้อนจะทำให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ต้องนำภาษีของคนไทยไปใช้จ่ายในส่วนนี้
ขณะที่ปัญหาของเด็กกัมพูชาค่อนข้างหนักกว่า ตั้งแต่การปิดด่านพรมแดน เพราะมีความรู้สึกหลากหลายชนกัน ทั้งชาตินิยม กระแสการต่อสู้ ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทยเกิดความเกลียดกลัวคนที่แตกต่างทางเชื้อชาติ ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถก้าวผ่านไปได้ แต่ปัจจุบันกระแสสังคมค่อนข้างรุนแรง เราจะก้าวข้ามไปอย่างไรที่ยังมีความเกลียดชัง และทำให้การพูดคุยเรื่องนี้กระจายกันได้ไปในที่สาธารณะ
“ทุกอย่างอยู่ที่ฝ่ายบริหาร หากยังไม่สามารถมองเห็นถึงหลักการด้านมนุษยธรรม ที่จะมอบให้กับทุกคนเป็นสิ่งที่ร่วมกัน คือ มนุษยชาติ การไม่เอนเอียง ความเป็นกลาง อิสรภาพ หากยังไม่สามารถอยู่ในกรอบความคิดของรัฐบาลได้ ก็ค่อนข้างยากที่จะทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรม เกิดขึ้นจริงได้”
กัณวีร์ สืบแสง

สอดคล้องกับ รัชดา ไชยคุปต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นฐานแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เชื่อมั่นว่าในหลักการ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไทยให้สัตยาบันทั้งในอาเซียน กฎหมายระหว่างประเทศ หรือนานาชาติ แต่การนำไปปฏิบัติยังเป็นสิ่งที่ต้องนำหลักการไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง เช่น กลไกระหว่างประเทศ การคุ้มครองสิทธิเด็กด้านต่างๆ ที่มองว่า เรื่องการศึกษานำไปสู่สันติสุข สันติภาพ แต่จะทำอย่างไรให้ไปถึง ข้อท้าทายกลุ่มที่มีผลกระทบ หรือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร โดยในการเสริมพลังให้เด็ก ต้องเสริมสร้างสันติภาพ ให้ยอมรับในความแตกต่างด้วยกลไกระหว่างประเทศในภูมิภาค มองว่าไม่ให้เด็กข้ามชาติเรียนหนังสือ ถือว่าละเมิดสิทธิเด็ก และอาจเป็นความเสี่ยงผลักไปสู่การเป็นแรงงานก่อนวัยอันควร หรือการค้ามนุษย์
พร้อมกล่าวถึงข้อท้าทายของประเทศไทยในการเป็นภาคีที่จะยืนยันจะดำเนินการตามเป้าหมาย พูดเรื่องการศึกษาที่เท่าเทียม และการขจัดความไม่เสมอภาคทางการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ สังคมความยุติธรรม มีความสงบ และครอบคลุม แต่ในกรอบของอาเซียนต้องใช้ฉันทามติจากอีก 9 ประเทศ ซึ่งส่วนตัวมองเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้การจะทำให้ประเทศอื่นๆ เห็นชอบกับไทยได้อย่างไร ในการทำโครงการต่างๆ ไทยต้องสร้างความเป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นไม่ใช่คิดขึ้นมาสุดท้ายต้องให้อีก 9 ประเทศช่วยตัดสินแบบนี้ไม่ผ่านแน่นอน ซึ่งที่ผ่านไทยเป็นผู้นำกระบวนการยุติความรุนแรงในผู้หญิงและเด็ก และมีอีกหลายโครงการที่กำลังเป็นผู้นำในการดำเนินการ ทั้งหมดนี้ต้องดูทั้งปัจจัยที่ทำให้เด็กไม่ได้เข้ารับการศึกษา และปัจจัยอะไรที่จะทำให้เด็กที่อยู่ในระบบการศึกษา ยังคงศึกษาต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็ก

นักวิชาการ ชี้ อนาคตไทยอาจต้องพึ่งเพื่อนบ้าน หยุดบ่มเพาะความเกลียดชัง
ด้าน ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ รักษาการแทนรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง สถานการณ์การเรื่องปฏิบัติด้านการศึกษาต่อเด็กข้ามชาติมีมาโดยตลอดอยู่แล้ว เช่น การจำกัดการใช้ภาษาแม่ รวมถึงการบังคับให้เด็กต้องพยายามพูดภาษาไทยที่ระบบการศึกษาไทยยังขาดการคิดถึงกลไกต่าง ๆ ที่จะเอื้อให้เด็กเหล่านี้ พูดภาษาแม่ได้ จนถึงปัจจุบันก็ยังเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น จึงอยากชวนสังคมตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาเราได้ให้การศึกษากับเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วหรือไม่
ขณะที่เราอ้างว่าเป็นประเทศใจกว้าง ให้คนหลบร้อนมาพึ่งเย็น ต้องตั้งคำถามถึงกลไกเชิงโครงสร้างว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ มนุษยชาติเกิดขึ้นมาก่อนกฎหมาย ดังนั้นไม่มีกฎหมายฉบับไหนเขียนได้ครอบคลุมทุกมิติ แต่ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นก่อน ถ้าเราอยากเห็นเพื่อมนุษย์ปฏิบัติกับเราอย่างไรก็ต้องทำแบบนั้นก่อนนี่เป็นหัวใจสำคัญ พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาสในอนาคต ที่การเป็นพลเมืองของโลกเป็นกุญแจสำคัญของความอยู่รอด
“ถ้าเราบ่มเพาะแต่ความเกลียดชัง ละเมิดสิทธิเด็กเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา วันข้างหน้าเมื่อแก่ตัวลงเราอาจจะเจอพยาบาลที่เป็นเด็กเหล่านี้ไม่รู้ว่าชาติพันธุ์ไหน แต่นี่คือความเป็นจริงของชีวิตใช่หรือเปล่า เพราะฉะนั้นสังคมไทยต้องชวนกันคิด ช่วยยุติการเลือกปฏิบัติเสียที เพียงแค่เด็ก 1 คนที่ได้โอกาสในการศึกษาจะสามารถสร้างสิ่งอื่นได้มากมาย และถ้าเรามัวแต่ทำตัวเป็นภาระในอนาคตไม่มีใครอยากเลี้ยงดูเรา”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

LPN แถลงการณ์ ไม่ยอมรับตัดงบการศึกษาเด็กข้ามชาติ ขัดต่อหลักสากล
ทั้งนี้ภาคีเครือข่ายยังร่วมกันออกแถลงการณ์ หากรัฐบาลไทยหรือนโยบายรัฐพยายาม “ตัดงบ” หรือ “ลดการเข้าถึงการศึกษา” ของเด็กต่างด้าว ถือว่ามีแนวโน้มขัดต่อหลักสากล ดังต่อไปนี้
- อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) ประเทศไทยเองก็เป็นภาคีของ CRC ตั้งแต่ปี 1992 ในมาตรา 2: คือ เด็กทุกคนมีสิทธิโดยไม่เลือกปฏิบัติ (รวมถึงเด็กไร้สัญชาติ/ต่างด้าว) ในมาตรา 28: คือ เด็กทุกคนมีสิทธิในการศึกษา ในมาตรา 29: คือ การศึกษาต้องส่งเสริมศักยภาพสูงสุดของเด็ก การตัดงบหรือจำกัดสิทธิ อาจถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก
- ข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางเศรษฐกิจ (ICESCR, ICCPR) ICESCR มาตรา 13 รับรองสิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่ทุกคน ICCPR ห้ามการเลือกปฏิบัติเพราะสัญชาติ หรือสถานะทางกฎหมาย
- หลักการสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights – UDHR) ในมาตรา 26: ทุกคนมีสิทธิได้รับการศึกษา หลักการกรุงเทพ (Bangkok Principles) และแนวปฏิบัติ UNHCR แม้เด็กต่างด้าวจะไม่ได้มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัย แต่กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศก็ห้ามไม่ให้ปฏิเสธการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน
และที่สำคัญยิ่งยังขัดต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อย่างมีนัยสำคัญ คือ รัฐบาลไทยเป็นภาคีที่ยืนยันจะดำเนินตามเป้าหมาย SDGs (2030 Agenda for Sustainable Development) การตัดงบสนับสนุนการศึกษาแก่เด็กต่างด้าว ขัดต่อเป้าหมาย SDG 4: การศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง อาทิ 4.1: ทุกคนควรได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่ เลือกปฏิบัติ ,4.5: ขจัดความไม่เสมอภาคทางการศึกษา ,4.7: การศึกษาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการเคารพความหลากหลาย SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ อาทิ 10.2: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ถูกกีดกันในสังคม ,10.3: ขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ และ SDG 16: สังคมสงบสุข ยุติธรรม และครอบคลุม ทั้งนี้คือ การศึกษาช่วยลดความรุนแรง ความเกลียดชัง และอคติในระยะยาว และประเทศไทยเคยมีแนวนโยบายหรือพันธกรณีดังกล่าว อาทิ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560–2579 ระบุชัดว่า “เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยมีสิทธิได้รับการศึกษา โดยไม่เลือกปฏิบัติ” มติคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548 “การให้สิทธิเด็กต่างด้าวเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย โดยไม่ต้องมีสัญชาติ” แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เน้น “การให้บริการสาธารณะอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”
และประเทศไทยเคยมีแนวนโยบายหรือพันธกรณีดังกล่าว อาทิ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560–2579 ระบุชัดว่า “เด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยมีสิทธิได้รับการศึกษา โดยไม่เลือกปฏิบัติ” มติคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548 “การให้สิทธิเด็กต่างด้าวเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย โดยไม่ต้องมีสัญชาติ” แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 เน้น “การให้บริการสาธารณะอย่างไม่เลือกปฏิบัติ”
ดังนั้น ในการนี้ มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานหรือ LPN ร่วมกับองค์กรภาคีแห่งความร่วมมือ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น นำเสนอสถานการณ์ปัญหาที่กำลังเผชิญ การสร้างความเข้าใจร่วมกัน การหารือระดมสมอง และจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อค้นหาแนวนโยบายและการปฏิบัติที่ดีเหมาะสมและสอดคล้องต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กข้ามชาติ อันจะเป็นการอยู่ร่วมกันในสังคมอาเซียนที่เกื้อกูลต่อพลเมืองอาเซียน