แก้รัฐธรรมนูญ – มีกฎหมายกลาง หาสมการประชาชนในการพัฒนา

กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา – ภาคประชาชน เห็นพ้อง แก้รัฐธรรมนูญ – ร่างกฎหมาย พิทักษ์สิทธิเสรีภาพ เอื้อประชาชนมีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการพัฒนา ‘สุริชัย’ ชี้ “หากเศรษฐกิจไม่นำมาซึ่งความมั่นคงแห่งชีวิต ท้องถิ่นก็ไม่มีความหมาย”

5 ก.ย. 68 “ Policy Forum : ส่วนร่วมแบบไหน ไม่ทิพย์ ? สมการประชาชนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่”  เปิดรายงานคณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการมีส่วนร่วมของประชาชนฯ วุฒิสภา พบข้อค้นพบสำคัญ ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 คือปมสำคัญส่งผลให้หลายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ต้นทาง จนนำไปสู่ความขัดแย้ง มีการต่อต้านและไม่ไว้วางใจรัฐ ข้อเสนอแนะสำคัญ จึงต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิและเสรีภาพให้ชัดเจน รวมไปถึงการจัดทำกฎหมายกลางว่าด้วยการมีส่วนร่วม

นรเศรษฐ์  ปรัชญากร ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชนสิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า เชื่อว่าไม่มีใครไม่อยากเห็นประเทศพัฒนา แต่ต้องช่วยกันคิดว่าจะพัฒนาไปในทางใด  มีกลไกอย่างไร ใครควรมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาบ้าง หากไม่ร่วมกันคิดและตั้งคำถาม การตัดสินใจที่สำคัญก็จะตกเป็นของคนกลุ่มเล็ก ๆ บนหอคอยงาช้าง เสียงของคนในพื้นที่ก็จะดังน้อยลง  

“กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนต่อโครงการพัฒนาต่าง ๆ ได้เชิญภาครัฐและเอกชนเข้ามาให้ข้อมูลหลายครั้ง เดือนที่แล้วก็เพิ่งจัดเสวนาเรื่องระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC ไป  และเห็นพ้องกับภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนว่าควรมีเวทีวันนี้ขึ้น กมธ. จึงหวังว่า เวทีวันนี้จะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เศรษฐกิจเติบโต สิ่งแวดล้อมยังอยู่ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนไปพร้อม ๆ กัน สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”

นรเศรษฐ์  ปรัชญากร

“หากเศรษฐกิจไม่นำมาซึ่งความมั่นคงแห่งชีวิต ท้องถิ่นก็ไม่มีความหมาย” ปาฐกถาพิเศษ โดย ศ.สุริชัย หวันแก้ว 

ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานมูลนิธิสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวปาฐกถาพิเศษ  “ ประชาชนกับการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการขนาดใหญ่” ระบุว่า หลาย ๆ ครั้ง ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจ แต่กลับต้องรับเคราะห์ การพัฒนาจึงต้องไม่มองข้ามหัวของผู้ได้รับผลกระทบ และต้องมองให้เห็นว่าเป้าหมายการพัฒนาข้างหน้าที่ยั่งยืนเป็นอย่างไร

“บรรยากาศการเมืองหยุดชะงัก หรือรอการเลือกตั้ง แต่การพูดเรื่องนี้ก็ต้องทำ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ท่ามกลางความไม่แน่นอนของพัฒนาการทางการเมือง ต้องมีกลไกรับประกันการพัฒนาอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน รัฐสภามีหน้าที่เลือกฝ่ายบริหารและมีหน้าที่ช่วยให้สังคมเรียนรู้ร่วมกัน หากเศรษฐกิจไม่นำมาซึ่งความมั่นคงแห่งชีวิตในท้องถิ่นก็ไม่มีความหมาย โลกเองก็ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น จึงเลี่ยงไม่พ้นจะต้องหาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน”

ศ.สุริชัย หวันแก้ว

การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้มาจากบนลงล่าง แต่จะต้องเรียนรู้จากผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งต้องไม่ใช่ผู้รองรับการตัดสินใจ ประชาธิปไตยไม่ใช่บนลงล่าง หมายถึงการมีส่วนร่วมไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจพัฒนาด้วย โลกเป็นทุนนิยม อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ประเทศและบริษัทใหญ่ ๆ ส่วนการตัดสินใจในประเทศ รัฐบาลมีส่วนสำคัญ แต่การรับฟังจากพื้นที่ก็จำเป็น การพัฒนาที่ผ่านมาละเลยสิ่งแวดล้อมและขยะในเขตสร้างความเจริญ เขตเศรษฐกิจพิเศษอีสเทิร์นซีบอร์ดก็เป็นบทเรียนสำคัญในการละเลยเรื่องนี้ พี่น้องเกษตรกรได้รับคำสัญญาบ้าง แต่ก็ถูกละเลยในที่สุด จนต้องมีการเดินทางไกลประท้วงให้สังคมสนใจผลกระทบต่อชุมชน

สถาบันรัฐสภาต้องสนับสนุนการเรียนรู้ข้ามภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ภาควิชาการและมหาวิทยาลัยก็อ่อนแอ คณะกรรมการความยั่งยืนของไทยไม่ได้ประชุมมา 2 ปีแล้ว แต่ข้าราชการไทยก็พยายามทำรายงานเรื่องความยั่งยืนส่งไปให้สหประชาชาติ ซึ่งเป็นเรื่องดี ความหลากหลายทางชีวภาพของไทยเสื่อมทรุดยิ่ง หากจะเปลี่ยนจากประสบการณ์การเรียนรู้เชิงลบไปเป็นเชิงบวก ก็ต้องเปิดพื้นที่ให้พูดคุยและเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ต้องรอให้ภาคประชาชนประท้วงก่อน ต้องมีการเรียนรู้เชิงนโยบายมากขึ้นในสถาบันทุกระดับ รวมทั้งรัฐสภา ภูมิรัฐศาสตร์ก็สำคัญมากขึ้นเช่นกัน 

“ต้องเปลี่ยนจากการเมืองแบบการแสดง ไปเป็นการเมืองที่ประชาชนร่วมตัดสินใจ ต้องจัดสมดุลใหม่ของการให้ค่ากับทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นโดยมีรัฐสภาช่วยกระตุ้น ในขณะที่สถาบันการศึกษาและวิชาการต่าง ๆ ยังช้าอยู่ ต้องเปลี่ยนการพัฒนาแบบเดิมไปเป็นการฟื้นฟูและบูรณะระบบนิเวศไปพร้อม ๆ กัน ชาวบ้านเองอยู่กับความหลากหลายทางชีวภาพ จึงต้องให้ความสนใจมากขึ้น ไม่มองชาวบ้านในความหมายแคบ ๆ แต่ต้องมองว่าเขาอยู่กับทรัพยากรเหล่านี้มาทั้งชีวิต”

ศ.สุริชัย หวันแก้ว

ชี้ รธน. 60 การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเพียงพิธีกรรม ขาดอำนาจต่อรอง

รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมาชิกวุฒิสภา และ อนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน ในคณะกรรมาธิการการพัฒาการเมืองการมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา นำเสนอรายงานการพิจารณาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยรายงานนี้เกิดเพราะได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวนมากจากประชาชน กว่าร้อยละ 90 เป็นเรื่องร้องเรียนของประชาชนรวมถึงพี่น้องที่อยู่ในห้องเสวนานี้ ดังนั้น จึงไม่แก้ปัญหารายกรณี แต่พยายามศึกษาและรับฟังความคิดเห็น รวมถึงลงพื้นที่ ซึ่งพบว่าปัญหาหลัก คือการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่หรือกิจการใด ๆ ของรัฐ ส่วนร่วมไม่มีความหมาย ไม่มีคุณภาพ โดยเป็นเพียงพิธีกรรม ปักป้ายถ่ายรูป เพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาอนุมัติโครงการ พี่น้องได้แค่ร่วมส่วนเท่านั้น

เมื่อทบทวนกลไกเชิงสถาบันและกฎหมาย พบว่า การมีส่วนร่วมอยู่ในระดับการรับฟังความคิดเห็นและข้อกังวลต่าง ๆ ซึ่งทำโดยบริษัทที่รับจ้างมาจากเจ้าของโครงการเพื่อไปหาทางชดเชยเยียวยาต่อไป อาจมีกฎหมายอื่น ๆ เช่น ระเบียบสำนักนายกฯ หรือ พ.ร.บ.แร่ ที่ให้ทำประชาพิจารณ์หรือประชามติในพื้นที่ได้ แต่กลับให้บริษัทผู้ขอสัมปทานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและไม่ได้ทำจริง ๆ กลายเป็นการมีส่วนร่วมที่ไม่มีคุณภาพ ระเบียบสำนักนายกฯ กำลังปรับปรุงให้เป็นการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพ แต่ศักดิ์ของกฎหมายก็ต่ำกว่า

รัฐธรรมนูญ 2560 ย้ายประเด็นที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน มาตรา 57 และ 58 เข้าไปอยู่ในหมวดหน้าที่ของรัฐ โดยให้ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เป็นกลไกในการพิทักษ์สิทธิ ข้อดีคือขยายจากโครงการของรัฐไปครอบคลุมกิจการและกิจกรรมของรัฐด้วย แต่ก็ยังขาดกลไกพิทักษ์สิทธิ เมื่อไม่มีบทบัญญัติที่รับรองในหมวดสิทธิ ชาวบ้านก็ฟ้องร้องลำบาก ผู้ออกแบบรัฐธรรมนูญอ้างว่า นี่เป็นนวัตกรรมสำคัญ บอกว่าผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เป็นพระมาลัยที่ปัดเป่าทุกเข็ญ แต่เมื่อไม่มีกลไกที่มีคุณภาพ และไม่เขียนกฎหมายเชื่อมโยง ก็ต้องถามว่าทำอย่างไรจะให้รัฐธรรมนูญครอบคลุมการมีส่วนร่วมและพิทักษ์สิทธิของประชาชน 

“การกำหนดให้การพิทักษ์สิทธิเป็นหน้าที่ของรัฐและให้ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ รับผิดชอบ จริง ๆ แล้วทำหน้าที่ได้น้อยมาก จึงต้องปฏิรูป รธน.ใหม่ และทบทวนประเด็นเหล่านี้ อาจกลับไปเขียนแบบ รธน. 2540 และ 2550 หรือไม่ก็มีทั้งหมวดสิทธิและหมวดหน้าที่ของรัฐ ต้องมีการตรากฎหมายกลางว่าด้วยการมีส่วนร่วมสาธารณะ ที่คำนึงถึงสถานะทางกฎหมาย ยกระดับระเบียบสำนักนายกฯ ให้การมีส่วนร่วมของประชาชนมีคุณภาพมากขึ้นในทุกระดับ ตั้งแต่การตัดสินใจไปจนการประเมินผลหลังโครงการ มีหน่วยงานกลางที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดกระบวนการมีส่วนร่วมแทนหน่วยงานที่เจ้าของโครงการไปจ้าง”

รศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง

ภาคประชาชน หวัง แบ่งปันทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ส่วนร่วมในโครงการพัฒนาอย่างแท้จริง  รธน. ต้องรับรองพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน

สำหรับช่วงของการเสวนา “ ประชาชนอยู่ตรงไหน ? ในการตัดสินใจโครงการขนาดใหญ่ ”  มีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นตัวแทนชาวบ้านและภาคประชาชนจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั้ง ประยงค์ ดอกลำใย, ประสิทธิ์ชัย หนูนวล, ครรชิต เข็มเฉลิม, เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์, ชุติมา น้อยนารถ รวมถึง สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม

เวทีนี้เริ่มต้นด้วยการแสดงความเห็นในข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากผลรายงาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ โดย สุรชัย ตรงงาม เลขาธิการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า นอกจากมีกฎหมายกลางแล้ว ต้องมีองค์กรสนับสนุนทั้งเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบ เหมือนองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมใน รธน. 2550 ซึ่งหากมารวมกับองค์กรที่ทำเรื่องการมีส่วนร่วมสาธารณะอาจทำให้ภารกิจกว้างเกินไปจนไม่มีประสิทธิภาพ ทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแทนการให้บริษัทไปว่าจ้างคนมาทำซึ่งเสี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน โครงการขนาดใหญ่ต้องมีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์โดยองค์กรนี้ด้วย เมื่อประเมินแล้วก็อาจต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือถึงขั้นยกเลิกโครงการไป

“ปัจจุบันมีการใช้กฎหมายมาสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่มาก เช่น พ.ร.บ.อีอีซี และ เอสอีซี ซึ่งให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาโดยข้ามกฎหมายปกติที่มีอยู่ทั้งหมดไป มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและเยียวยาน้อย นอกจากกฎหมายเรื่องการมีส่วนร่วมสาธารณะแล้ว ยังต้องมีกฎหมายที่ให้องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเข้ามาตรวจสอบด้วย”

สุรชัย ตรงงาม

ด้าน ประสิทธิ์ชัย หนูนวล เครือข่ายประชาสังคมภาคใต้ กล่าวว่า พูดเรื่องนี้ทุกปีมาตลอด รัฐเป็นคนออกแบบทิศทางและกลไกการพัฒนามาตลอด ประชาชนก็เข้าไปมีส่วนร่วมตามกลไกนี้ที่ออกแบบมาเพื่อเป้าหมายอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่การมีส่วนร่วม จึงเป็นเพียงแค่พิธีกรรมมาตลอด ที่ภาคใต้จึงเสนอให้ไปจัดการกลไกให้ดี หากจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ก็ต้องมีส่วนร่วมออกแบบการพัฒนาด้วย แต่หากเข้าไปสู่กลไกเดิม ๆ เวทีโครงการแลนด์บริดจ์ครั้งที่ 3 แม้ประชาชนจะคัดค้านหรือคว่ำบาตรแต่กลไกก็จะได้ข้อสรุปว่าเห็นด้วย

ภาคใต้เป็นพื้นที่เฉพาะ มีธรรมชาติและทรัพยากร แทนที่ประชาชนนับสิบล้านคนในพื้นที่จะได้ร่วมออกแบบ แต่กลับมีคนมาออกแบบให้ว่าต้องเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม เป็นการจัดวางรากฐานทรัพยากรใหม่ทั้งทรัพยากรธรรมชาติและมนุษย์ กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มาตรา 8 บอกว่าให้ยกเลิกกฎหมายใด ๆ และสถาปนากฎหมายมาใช้ใหม่ เมื่อมีพื้นที่ใดเป็นอิสระเช่นนี้ ประชาชนก็จะสูญเสียการมีส่วนร่วมอย่างสิ้นเชิง ประชาชนมีหน้าที่แค่รับฟังข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนดและรับฟังผลกระทบเท่านั้น รวมถึงเรื่องที่ดิน ซึ่งเป็นภัยสูงสุด


“คนใต้ทั้งหมด ต้องมาร่วมออกแบบกลไกใหม่ว่าภาคใต้จะไปทางใด เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมจริง ๆ และออกแบบอนาคตร่วมกัน หากรัฐบาลไม่ทำประชาชนต้องทำเอง ต้องเอาข้อมูลทั้งหมดมาวางและรับฟังประชาชนอย่างรอบด้าน อย่าเพิ่งไปออกกฎหมาย ออกกฎหมายเพื่อให้ครอบคลุมประชาชนอย่างรอบด้าน มิฉะนั้นก็จะต้องไปแก้ปัญหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จึงต้องร่วมกันออกแบบทิศทางภาคใต้”

ประสิทธิ์ชัย หนูนวล

ครรชิต เข็มเฉลิม เครือข่ายประชาสังคมภาคตะวันออก  สะท้อนว่า เรียกร้องเรื่องการมีส่วนร่วมมาตลอด ก่อนจะมีอีอีซี แต่เรายังไม่เคยได้รับ ตอนกฎหมายออกมาใหม่ ๆ คิดว่าภาครัฐสามารถเชิญภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมได้ แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับพบว่า ทำให้รัฐดำเนินงานยากขึ้น ภาครัฐจึงปรับตัวอย่างรวดเร็วด้วยการสร้างภาคประชาชนของตนเองเข้ามาในนามอาสาสมัคร และนำเข้ามาใช้ในกระบวนการมีส่วนร่วมของตน จึงควรกำหนดว่าภาคประชาชนที่มามีส่วนร่วมควรเป็นภาคประชาชนแบบไหน ภาคประชาชนที่ภาครัฐจัดตั้งย่อมไม่มีอิสระ และไม่แสดงความคิดเห็นในทิศทางที่ควรเป็น

อีอีซี หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีคำว่า “พิเศษ” อยู่ในชื่อ ต้องการย่นย่อกระบวนการทั้งหมดเพื่อเข้าสู่เป้าหมายได้ไวขึ้น ทำผังเมืองอีอีซีแค่ปีเดียว ทั้งที่ผังเมืองปกติต้องใช้เวลานานมาก เพราะกระบวนการมีส่วนร่วมช้า มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงเอาภาคประชาชนที่อยู่ใต้กระบวนการภาครัฐมาร่วม อีอีซี มีการจัดเวที 40 เวที และนำภาคประชาชนเข้ามาผ่านผู้นำชุมชน นี่คือกระบวนการมีส่วนร่วมที่รัฐอยากเห็น ถ้าให้เราไปร่วมแต่ต้นก็จะต้องได้ออกแบบว่าคนพื้นที่ได้อะไร ใครได้ประโยชน์ รวมถึงมีสิทธิปฏิเสธ แต่ถ้าปฏิเสธแล้วจะทำอย่างไรต่อ ตอนนี้จะขยายอีอีซีไปปราจีนบุรี คนก็ค้านโครงการเอสอีซี หรือ เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ คนก็ค้าน แต่สุดท้ายก็ผ่านตลอด

“เราเรียกร้องมานานตั้งแต่สมัยที่ทำ EIA และ EHIA ให้ สผ. เป็นหน่วยงานกลางจัดการประเมินผลกระทบแทนบริษัทที่ปรึกษาที่เจ้าของโครงการจ้างมา หรืออย่างน้อยให้ สผ. เป็นผู้ทำรายชื่อบริษัทก็ได้ ซึ่งย่อมน่าเชื่อถือกว่าบริษัทที่เจ้าของโครงการจ้าง เร็ว ๆ นี้ก็มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของอีอีซี ซึ่งผ่าน ทั้ง ๆ ที่ตนเสนอไปว่ามีปัญหามากมาย แล้วข้อเสนอเหล่านั้นไปไหน เราถามหาถึงข้อเสนอที่รวบรวมมาตอนที่ทำผังอีอีซีครั้งแรกใน 40 เวทีก็ยังไม่ได้เลย ”

ครรชิต เข็มเฉลิม

ด้าน เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายประชาสังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้าหรือเหมืองแร่คนที่เบิกได้มีแต่ผู้นำชุมชน แม้ พ.ร.บ.แร่ จะมีเรื่องการรับฟังความคิดเห็นและประชามติในมาตรา 56 แต่ก็ใช้เงินของเจ้าของโครงการ การรับฟังก็ไม่ได้เป็นอิสระ มีการว่าจ้างคนเข้ามาเห็นด้วยและกีดกันคนไม่เห็นด้วยออกไป จัดทำประชามติจริงก็ไม่กี่ครั้ง การมีส่วนร่วมตกอยู่ใต้หน่วยงานราชการและเจ้าของกิจการ ประชาชนถูกกีดกันออกไป ตนมองไม่เห็นประโยชน์ 

“ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในการต่อต้านการพัฒนาเป็นสิทธิโดยชอบ ไม่ใช่ให้การมีส่วนร่วมเป็นของภาครัฐและเอกชน แล้วจะเข้าไปทำไม การฟ้องปิดปากก็เป็นเรื่องสำคัญที่พูดและผลักดันกันมาเป็นสิบปี องค์กรอิสระในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็มีประโยชน์ เคยมีตามรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ไม่กี่ปีก็ถูกยุบไป เพราะเป็นอิสระเกินไป และตรวจสอบมากไป การมีองค์กรนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับประชาชน การทำ EHIA เหมืองแร่หลายแห่งก็ถูกตีตกให้เป็น EIA ทั้ง ๆ ที่ควรประเมินผลกระทบสุขภาพด้วย ซึ่ง EHIA ตรวจสอบละเอียดและมีการสอบทานหลายชั้นมาก”

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์

ขณะที่ ประยงค์ ดอกลำใย เครือข่ายประชาสังคมภาคเหนือ ยกกรณีเขื่อนภูมิพลที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2507 แต่ประชาชนที่ถูกอพยพเพราะการเกิดขึ้นของเขื่อนยังไม่ได้ใช้ไฟฟ้าจากเขื่อนนี้ ที่ดินทำกินถูกประกาศเขตอุทยานทับ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ชาวบ้านได้รับผลกระทบ 23 ชุมชน มีมติ ครม.ให้อพยพ 10 หมู่บ้านเมื่อ 18 ปีก่อน ชาวบ้านก็สูดควันพิษซัลเฟอร์ตายไปจำนวนมาก ถูกสั่งให้อพยพไปอยู่ในป่าสงวนซึ่งไม่เพิกถอนเขต ทำให้ไม่ได้เอกสารสิทธิ์ที่ดิน รวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ปี 2559 คสช. ไล่ที่ชาวบ้าน 2.1 พันไร่ แม้จะได้ชดเชยแต่ก็ไม่มากพอจะซื้อที่ได้ ทำให้ต้องไปรุกป่า เขตเศรษฐกิจฯ ก็ล้มเหลว กลายเป็นพื้นที่ทิ้งขยะ แล้วยังจะไปสร้างอีอีซีและเอสอีซีต่ออีก

กระบวนการมีส่วนร่วมภายใต้กฎหมายสิ่งแวดล้อมก็ทำทุกทางให้เปิดเวทีได้ หลายเวทีไปเปิดในค่ายทหาร แจกน้ำมันพืช กะปิ น้ำปลา คนที่ไปเซ็นชื่อเข้าร่วมรับของก็ถูกนำชื่อไปใช้ว่าเห็นด้วยกับโครงการ ตั้งแต่มี พ.ร.บ.มาไม่เคยมีโครงการไหนที่สร้างไม่ได้ เพราะมีธงอยู่แล้วว่าต้องสร้างให้ได้ ถ้ามีปัญหาก็ไปแก้ ต่อให้ชาวบ้านบุกไปล้มเวที เมื่อชาวบ้านกลับก็ไปเกณฑ์อีกคนอีกกลุ่มหนึ่งมาจัดเวทีต่อ เป็นการรับฟังความคิดเห็นลวง ที่ภาคเหนือมี “EIA ร้านลาบ” ของโครงการผันน้ำยวม ที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ขโมยรูปบนเฟซบุ๊กที่ถ่ายในร้านลาบของกลุ่มคัดค้านไปอ้างว่าได้ไปพูดคุยจนเข้าใจแล้ว จึงไว้ใจไม่ได้

ประยงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รธน. 2540 มีคำว่าสิทธิชุมชนเป็นครั้งแรก แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ และไม่มีสภาพบังคับ กฎหมายอื่น ๆ ไม่ปฏิบัติตาม รธน. 2550 ได้ตัดเรื่องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติออก ศาลก็รับรองแม้จะไม่มีกฎหมายก็ตาม แต่ก็ถูกรัฐประหารล้มไป รธน. 2560 ก็ย้ายมาเป็นหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรัฐจะให้แค่ไหนก็ได้ เช่น อ้างว่าให้สิทธิในการอยู่ในที่ดิน แต่ที่จริง ๆ แล้วเป็นการอนุญาตชั่วคราวเพียง 20 ปี และกำหนดเงื่อนไขเต็มไปหมด

“ต้องทำให้สิทธิชุมชนมีสิทธิเหนือกฎหมายอื่นให้ได้ การมีส่วนร่วมก็ด้วย ไม่มีชุมชนไหนที่อยากให้มีโรงโม่หิน ซึ่งมีทั้งฝุ่นควันและรถบรรทุกหรือฟาร์มเลี้ยงหมูในชุมชน แต่ก็มีการนำคนจากหมู่บ้านอื่น ๆ มาร่วมรับฟังความคิดเห็นด้วย แทนที่จะรับฟังจากหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรง สุดท้ายก็สร้างได้ กระบวนการรับฟังความคิดเห็นต้องศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่เป็นความเห็นประกอบการพิจารณาอย่างเดียว แล้วไปตัดสินใจเองโดยอ้างว่าคุ้มค่าการลงทุน หากชุมชนมีมติว่าไม่ต้องการโครงการไปแล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น” 

ประยงค์ ดอกลำใย

ชุติมา น้อยนารถ เครือข่ายประชาสังคมภาคกลาง กล่าวว่า ปี 2545 จะมีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำท่าจีน ชุมชน 4 จังหวัดรวมตัวกันคัดค้าน ผลจาก รธน. 2540 ก็ให้โครงการกลับไปทบทวนใหม่เพราะขาดการมีส่วนร่วม โครงการเส้นทางรัฐ ม.ธรรมศาสตร์ ก็เข้ามาประชาสัมพันธ์ และจัดการเรื่องการมีส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพมากขึ้น มีการฝึกชาวบ้านให้เข้าใจกระบวนการรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่ต้น ได้รายงานที่ละเอียดและยาวมาก สุดท้ายใช้เวลา 20 ปี จึงได้สร้างและเส้นทางที่ตัดลงทะเลหายไป รัฐจึงไม่ชอบ แต่พอเป็น รธน. 2550 โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านกลับผ่าน โดยจัดการมีส่วนร่วมคล้าย ๆ กับอีอีซีในตอนนี้ ชาวบ้านก็ลุกขึ้นมาต่อต้านและเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศจากภูเขาถึงทะเล จนต่อสู้รายจังหวัดได้ สุดท้ายโครงการก็ไม่ผ่านเพราะถูกฟ้องโดยสมาคมลดโลกร้อน

ภาคประชาชนมองระบบและระบบนิเวศในวงกว้าง แต่ภาครัฐไม่ใช่ จะดูแค่วงแคบเท่านั้น แล้วจะเห็นตรงกันได้อย่างไร ทั้งที่ท่าจีนและที่อื่น ๆ ไม่เหมือนกัน บางครั้งเจอแค่ขอบเขตงาน (TOR) แต่บางครั้งก็เจอถึงขั้นการออกแบบวิศวกรรมหรือการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) บริษัทที่ศึกษาก็ต้องรีบทำให้เสร็จ สิ่งที่ตอบนอกเหนือจากคำถามก็จะไม่สนใจไปใส่ในรายงาน เป็นเหมือนพิธีกรรม มีการส่งแบบสอบถามไปตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้ครบและจัดรับฟังความคิดเห็น แต่ชุดข้อมูลที่ให้มีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย โชคดีที่กลุ่มท่าจีนแข็งแรงและมีเครือข่ายกว้างขวาง สามารถจัดการรับฟังความคิดเห็นและเผยแพร่ข้อมูลของตนเองได้ และต้องให้ช่องทางพิเศษ รวมถึงประท้วงอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เป็นการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ หากทำมากไปก็ไม่ปลอดภัย อาจถูกผู้ว่าฯ มาตักเตือนถึงบ้านหรือได้รับหมายศาล นักเคลื่อนไหวจึงควรได้รับการปกป้องมากกว่านี้ ตนหวังว่า พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมฯ จะเป็นโทษกับบริษัทรับให้คำปรึกษา เช่น สนามบิน จ.นครปฐม จะเป็นสนามบินส่วนบุคคล ไม่ใช่สนามบินพาณิชย์ที่ประชาชนจะได้ใช้ และมีการให้ข้อมูลผิด ๆ กับประชาชน แต่มีคนส่งรายงานที่ถูกต้องมาให้ตน จึงประท้วงว่าการรับฟังทั้งหมดต้องเป็นโมฆะ เพราะทำการมีส่วนร่วมอย่างบิดเบือน ทั้งบริษัทรับปรึกษาและการท่าอากาศยานต้องรับผิดชอบ เจ้าของที่ดินที่จะถูกเวนคืนก็เครียดจนเสียชีวิต ซ้ำร้ายยังจะไปสร้างในพื้นที่น้ำหลาก ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ กระทั่งปัจจุบันมีกฤษฎีกาแล้วว่าสร้างไม่ได้ 

“จะหาความเป็นกลางจากบริษัทที่ปรึกษาได้อย่างไร เพราะย่อมให้ข้อมูลแต่ด้านดี ทั้ง ๆ ที่ประชาชนหาข้อมูลเองได้ แต่ทรัพยากรก็ไม่พอ มีมหาวิทยาลัยมาช่วยลุ่มน้ำท่าจีนเยอะมาก แต่ต้องหยุดไปเพราะเงินหมด ต้องมีองค์กรมาสร้างระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อม ทุกวันนี้ไม่มีคำว่ายกเลิกโครงการ มีแต่ยุติ ระงับ หรือกลับไปศึกษาใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย”

ชุติมา น้อยนารถ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active