สภาฯ รับหลักการ ‘ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่า’ หวังคืนความเป็นธรรมชาวบ้าน เกือบ 3 หมื่นคดี

ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฯ 32 คน ขณะที่ สส. ชาติพันธุ์ เผย มีชาวบ้านตกเป็นเหยื่อคดีป่าไม้เกือบ 3 หมื่นคดี ย้ำ ร่างกฎหมาย จุดเริ่มต้นเดินหน้าล้างมลทิน คืนความเป็นธรรมให้ชาวบ้าน ชุมชนเขตป่า ที่ถูกยึดที่ดินทำกิน จากยุค คสช.

วันนี้ (11 ก.ย. 68) เพจ ชาติพันธุ์ประชาชน รายงานว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏรมีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่า ที่เสนอโดย เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน สัดส่วนชาติพันธุ์ และ ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีทวงคืนผืนป่า ของพรรคประชาชาติ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรมีมติใช้ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานตามนโยบายด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. … ของพรรคประชาชน เป็นร่างหลักในการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ

โดยที่ประชุมสภาฯ ได้เสนอชื่อกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จำนวน 32 คน ประกอบด้วยสัดส่วนจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 8 คน และสัดส่วน สส.อีก 24 คน ซึ่งมีสัดส่วนกรรมาธิการวิสามัญจากสัดส่วนพรรคประชาชน จำนวน 7 คน ซึ่งหลังจากนี้จะใช้เวลาแปรญัติร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นเวลา 15 วัน

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน สัดส่วนชาติพันธุ์ ในฐานะผู้เสนอกฎหมาย อภิปรายให้รายละเอียดว่า จากตัวเลขของกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า ปัจจุบันมีชุมชนที่อยู่ในเขตป่าทั้งหมด 23,618 หมู่บ้าน มีที่ดินที่ทับซ้อนกับเขตป่า 16.7 ล้านไร่ ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเหล่านี้เช่นกัน หากแต่ดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ซึ่งแบ่งช่วงระยะเวลาได้เป็น 2 ช่วง คือ

ช่วงก่อนปี 2540 เป็นช่วงที่นโยบายของรัฐบาล เน้นการปฏิรูปที่ดินเพื่อกระจายการถือครองที่ดิน โดยนำที่ดินที่ทับซ้อนกับเขตป่าไปออกเอกสารรับรองสิทธิ์ (แบบไม่ใช่กรรมสิทธิ์) ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบนิคมสร้างตนเอง นิคมสหกรณ์ สปก. แต่หลัง ปี 2540 รัฐบาลได้ยุตินโยบายปฏิรูปที่ดินไปทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ยังมีกลุ่มเป้าหมายอีกจำนวนมาก โดยหันมาใช้นโยบายผ่อนผันและออกหนังสืออนุญาตให้อยู่อาศัยและทำประโยชน์ที่ดินในเขตป่าแทน

โดยนโยบายฉบับแรก คือ มติ ครม. เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ที่ผ่อนผันไม่ให้จับกุมและกำหนดให้ขึ้นทะเบียนและควบคุมไม่ให้บุกรุกเพิ่ม และต่อมาก็มีมติ ครม.อีกหลายฉบับที่กำหนดให้ผ่อนผันและออกหนังสืออนุญาตให้อย่างถูกต้องตามกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โฉนดชุมชน, มติ ครม. ว่า ด้วยการคุ้มครองวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาวเล, การจัดที่ดินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาล หรือ คทช., โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมาตรา 64 และ 121 เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541 แม้จะได้รับการผ่อนผันในระหว่างที่รอการพิสูจน์สิทธิ์หรือรอการออกหนังสืออนุญาตตามโยบายดังกล่าวนี้ แต่กลับมีการยึดที่ดินและจับกุมดำเนินคดีชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้งที่อ้างว่าเป็นพื้นที่บุกรุกใหม่หรือนายทุน ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงเป็นชาวบ้านธรรดาที่ทำกินมานานแล้ว จะว่าไปความจริงนายทุนและผู้มีอิทธิพลแทบไม่เคยถูกจับด้วยซ้ำ

เหยื่อทวงคืนผืนป่าเกือบ 3 หมื่นคดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ที่ได้มี คำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 สั่งให้ปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าของนายทุนและผู้มีอิทธิพลอย่างเข้มงวด ทำให้ทหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ใช้วิธีการสนธิกำลังทั้งฝ่ายทหาร ป่าไม้ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และมุ่งตรวจยึดและจับกุมดำเนินคดีชาวบ้านทั่วประเทศ ไม่ได้มุ่งดำเนินการกับนายทุนและผู้มีอิทธิพลตามที่อ้าง เมื่อภาคประชาสังคมได้ออกมาคัดค้านจึงได้ออกคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 โดยเพิ่มเติมว่า “การดำเนินการใด ๆ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้อยู่อาศัยในพื้นที่นั้นๆ ก่อนคำสั่งนี้มีผลใช้บังคับ ยกเว้นผู้บุกรุกใหม่” ความหมายคือ เน้นย้ำว่าเจตนารมณ์ของนโยบายทวงคืนผืนป่า มุ่งปราบปรามเฉพาะนายทุน ผู้มีอิทธิพล และผู้บุกรุกใหม่เท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ทหาร และกรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ ก็ยังเดินหน้าสนธิกำลังจับกุมดำเนินคดี ตรวจยึดและตัดทำลายไม่ยืนต้นของชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง แม้ในเวลาต่อมาจะมีการกลั่นกรองคนก่อนบ้าง แต่ผู้ที่ถูกดำนเนินการยังเป็นชาวบ้านผู้ยากไร้อยู่นั่นเอง

เลาฟั้ง ระบุว่า จากรายงานของกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ พบว่า ระหว่างปี 2557 ถึงปี 2562 มีการตรวจยึดและดำเนินคดีข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าไปแล้ว 29,190 คดี มีที่ดินถูกยึดไปประมาณ 800,000 ไร่ ในขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า เป็นคดีที่บุกรุกใหม่ประมาณ 80,000 ไร่ หรือคิดเป็น 10% ของพื้นที่ที่ถูกดำเนินคดีเท่านั้น

“เมื่อผู้ที่ถูกดำเนินคดี ส่วนใหญ่เป็นประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ที่พวกเขาอยู่อาศัยบนที่ดินดังกล่าวมาก่อน หรือแม้อยู่ภายหลังแต่ก็มีนโยบายผ่อนผันและอยู่ระหว่างดำเนินการออกหนังสืออนุญาตตามนโยบายของรัฐบาล หรือได้รับการยกเว้นตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 อยู่แล้ว”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

ย้ำ กม.นิรโทษกรรมฯ ช่วยล้างมลทิน ปลดล็อกปัญหาถูกยึดที่ดินให้ชาวบ้าน

เลาฟั้ง ย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับนี้ จึงมีความประสงค์ที่จะคืนความเป็นธรรมให้แก้ราษฎรผู้ที่ได้อยู่อาศัยและทำกินมาแต่เดิมหรือได้รับการคุ้มครองตามนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว พร้อมกำหนดให้ล้างมลทิน และปลดล็อกที่ดินที่ถูกตรวจยึดอย่างไม่เป็นธรรม ให้สามารถนำกลับมาเข้ากระบวนการพิสูจน์สิทธิ์หรืออนุญาตตามนโยบายของรัฐบาลที่มีอยู่ ซึ่งนโยบายขณะนี้คือการจัดที่ดินให้ชุมชนแบบแปลงรวมโดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ หรือ คทช. ต่อไป


สำหรับกลุ่มเป้าหมายตามร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ผู้ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ ประกอบด้วย

  1. ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ก่อนถูกประกาศเป็นพื้นป่า

  2. ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ภายหลังวันที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่ป่า แต่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ปี 2541 หรือมติ ครม.เรื่องแนวทางในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงและชาวเล

  3. ผู้ที่ได้รับการยกเว้นตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 66/2557 คือ เป็นผู้ยากไร้ มีรายได้น้อย หรือไร้ที่ดินทำกิน ที่ไม่ใช่ผู้บุกรุกใหม่

  4. สำหรับกรณีที่พิสูจน์ได้ว่ามาอยู่อาศัยหลังคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 หรือเป็นนายทุน ผู้มีอิทธิพล คนต่างถิ่นที่เข้ามาใหม่ คนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรมแต่อย่างใด

ส่องขั้นตอนนิรโทษกรรมคดีป่าไม้ หากกฎหมายบังคับใช้

สำหรับขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการนั้น กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ “คณะกรรมการนิรโทษกรรมจังหวัด” ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ได้รับการนิรโทษกรรม โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการ ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนหน่วยงานราชการต่าง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และ นายก อบจ. เป็นรองประธาน นอกจากนี้ยังมีอัยการ ตำรวจ สำนักงานคุมประพฤติจังหวัด สำนักงานยุติธรรมจังหวัด และมีตัวแทนภาคประชาชนเป็นกรรมการ และ “คณะกรรมการกลั่นกรอง” มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน


เมื่อกฎหมายผ่าน ให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัด รวบรวมรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติได้รับการนิรโทษกรรม ส่งให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมจังหวัดเพื่อพิจารณากลั่นกรอง หากประชาชนคนใดถูกปัดตกและไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการนิรโทษกรรมจังหวัด สามารถยื่นอุทธรณ์ไปยังคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดได้ โดยกำหนดให้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับแต่วันที่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ แต่หากไม่เสร็จหรือยังมีกรณีตกค้าง ให้อำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นของอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และให้ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์แทน

“ผมขอย้ำว่า กรณีพิพาทตามกฎหมายอื่น ๆ จะไม่เข้าเงื่อนไขได้รับการนิรโทษกรรมตามกฎหมายนี้ เช่น กรณีเขากระโดง เป็นเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินของการรถไฟซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ ไม่ใช่ที่ดินตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้, รวมทั้งกรณีนายทุนไทยเทา-จีนเทาที่ไปกว้านซื้อที่ดินผืนใหญ่ในเขตป่า แล้วปลูกทุเรียนตามที่เป็นข่าว กลุ่มนี้ก็จะไม่ได้รับการนิรโทษกรรมด้วย เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการผ่อนผันตามมติ ครม. ไม่ได้รับการยกเว้นตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 และไม่มีสิทธิ์ได้รับ คทช. ด้วย”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active