กรณีการจากไปของ “ครูมัท” วัย 39 ปี ที่ จ.บุรีรัมย์ ไม่เพียงแค่ความโศกเศร้าในวงการการศึกษา แต่เรื่องราวที่ครูมัทได้ระบายผ่านตัวหนังสือในจดหมายการจบชีวิต กำลังจุดกระแสในสังคมที่กำลังตั้งคำถามถึงระบบการศึกษาไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะภาระงานครูการเงิน-พัสดุ กับระบบการเงิน การเบิกจ่ายในโรงเรียนที่ไร้ประสิทธิภาพ กลายเป็นภาระหนักทำให้ครูคนหนึ่งต้องมารับผิดชอบเพียงลำพัง นี่ยังไม่นับรวมประเด็นที่ครูคนหนึ่งไม่ได้ทุ่มเทเวลาไปกับการสอนนักเรียน เพราะต้องแบกรับงานที่นอกเหนือจากการสอนอย่างมหาศาล

โดยเพจ วันนั้นเมื่อฉันสอน โพสต์เรื่องราวสะท้อนความหนักหนาในชีวิตครูการเงินคนหนึ่ง ที่บอกเล่ารายละเอียดไว้ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาทำหน้าที่ในโรงเรียน เขาได้เจอกับอะไรบ้างที่ชี้ให้ภาระงานนอกเหนือจากการสอน The Active ชวนย้อนอ่านเรื่องราวนี้
1. ปีแรกที่ได้รับหน้าที่นี้ ไม่มีความรู้ใด ๆ เลย ไม่มีใครสอนงาน และอยู่กับผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ว่า ทำอย่างไรจะถูกต้อง ตามระเบียบ ต้องศึกษาหาข้อมูลเองทุกอย่าง สอบถามเขตและปริ้นคู่มือมาอ่าน แล้วมานำเสนอ ผอ.ว่าต้องทำอย่างไร อ้างถึงระเบียบ ข้อกฎหมาย ผอ.รับฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ในขณะที่เราศึกษาข้อมูลไปด้วย โรงเรียนก็ต้องดำเนินกิจกรรมโครงการต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้เงินทำให้โรงเรียนไม่สามารถทำถูกต้องตามระเบียบได้ทุกอย่าง คือ ต้องทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างให้เรียบร้อยก่อนถอนเงินเป็นไปไม่ได้ ถ้าโรงเรียนขนาดเล็ก ครูไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียว เจ้าหน้าที่การเงินต้องคุยกับครูพัสดุว่าเงินจะถอนมาก่อน แต่เอกสารทำทีหลัง ใบเสร็จไม่ต้องลงวันที่ ตรงนี้เป็นความหนักใจอย่างมาก เพราะถ้า สตง. มาสุ่มตรวจ ทำเอกสารไม่ทัน จะผิดระเบียบทันที
2. การถอนเงิน รับเงินจาก สพฐ. จาก อบต. แต่ละครั้ง ไม่มีเวลาที่แน่นอน ถอนเงินโครงการกิจกรรมต่าง ๆ ต้องดูรายละเอียดงาน ว่า เบิกก่อนหรือเบิกหลังได้ ทำให้การเบิกถอนไม่สามารถทำในวันเดียวได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องระเบียบการเงิน แต่ก็พยายามไปธนาคารให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะครูที่ทำหน้าที่หลักคือการสอนหนังสือ 23 ชม./สัปดาห์ ต้องวางแผน ไปธนาคาร ไปเขต ซึ่งโรงเรียนอยู่ไกลจากเขต 50 กิโล และธนาคารกรุงไทย 50 กิโล ต้องไป จ่ายค่าไฟฟ้าทุกเดือน การที่จะไปแต่ละครั้ง สำหรับตัวเองแล้ว ต้องวางแผนเวลาให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบการสอนมาให้ทัน
ถ้าวันไหนไปธนาคารกรุงไทย ต้องไปรอตั้งแต่เช้า ๆ ก่อนธนาคารเปิดเพื่อเอาคิวแรก ที่จอดรถไม่มีต้องเดินไกล ห้องน้ำไม่มี ต้องอดทนรอ เพราะเราจับคิวไว้แล้ว ระหว่างขับรถเดินทางไปธนาคาร ไม่รู้จะเจออะไรบ้าง รถตัวเอง ค่าน้ำมันได้บ้างไม่ได้บ้าง เสียสละล้วน ๆ ทั้งต้องเสียเวลา (บางทีก็คิดว่าคนอื่นมีคาบว่าง แต่คาบว่างของเราคือต้องไปธนาคาร) ชั่วโมงสอนเท่ากับคนอื่น แล้วยังมีครูที่โรงเรียนชอบพูดว่า
“งานการเงินพัสดุ ไม่นับว่าเป็นงานที่ทำให้ ได้% ใด ๆ เพิ่ม นอกจากคุณจะต้องทำผลงานที่ส่งเด็กไปแข่งขันเท่านั้น ถึงจะนับว่าเป็นผลงาน”
3. กลับมาจากถอนเงินจะต้องมาทำบัญชีคุมต่าง ๆ (เก็บใบเสร็จ ตามใบเสร็จ จากเจ้าของโครงการ ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางบิลข้อมูลไม่ครบ ) แล้วต้องทำเงินคงเหลือประจำวัน ประจำเดือนส่งเขตทุก ๆ เดือน เงินจะต้องตรงกับสมุดบัญชีทุกบาททุกสตางค์ (กลับมาทำที่บ้าน ต้องใช้สมาธิ และใช้เวลาพอควร) แต่ยังดีที่ไม่เจอ ผอ.ที่เบียดบังเงินโรงเรียนเหมือนกลุ่มเพื่อน
4. นอกจากนี้แล้วจะต้องมีการเดินทางจ่ายเงินให้ร้านต่าง ๆ ติดต่อ เดินทาง ลงระบบบริจาค ลงระบบบัญชี สพฐ. จ่ายภาษีออนไลน์ หัก ณ ที่จ่ายเดือนถัดไป ซึ่งงานเหล่านี้ เป็นงานที่คนไม่เคยทำการเงินจะไม่รู้ว่ามันยิบย่อย จุกจิกขนาดไหน เพราะต้องทำตลอด ไม่จบไม่สิ้น ไม่เหมือนงานอื่น ๆ เพราะกิจกรรมใด ๆ โครงการใด ๆ ต้องใช้เงิน เอกสารต่าง ๆ
5. ในวันที่เข้ารับการตรวจ มีตัวชี้วัดอะไรบ้างที่หน่วยงานเขต หรือ สตง.มาดู เราต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครสนใจ รวมถึงผู้บริหาร เคยเจอประเภทที่ว่า “ผอ.ไม่รู้ ปัดให้เรา” แต่ก็ผ่านมาได้ ทุกวันนี้ยังไม่เคยชินกับการทำงานการเงิน บัญชี ร้องไห้ หนักใจ อยู่บ่อยครั้ง
เป็นงานที่ต้องทำตลอดเวลา ประสานงานทุกฝ่าย เสียสละเวลา ทั้งกายใจ ขอเปลี่ยนงานแต่ไม่เป็นผล ไม่มีใครอยากทำ และไม่มีใครมองว่างานนี้สำคัญ เพราะไม่มีเกียรติบัตรมาแนบ เหมือนการแข่งขันกิจกรรมอื่น ๆ ครูในโรงเรียนมองแค่ว่าถอนเงิน ทำเอกสาร จะยากอะไร แต่ในวันใดที่เราพลาดจะมีคนมาซ้ำเติม และตรวจสอบรู้ดีกว่า สตง.หรือ สตน.เขต คือครูที่โรงเรียน
6. วันที่จ่ายค่าเครื่องแบบอุปกรณ์การเรียนต้องไปแลกเงินติดต่อร้านค้าตามใบเสร็จลงรายมือชื่อ ผู้ปกครองต้องตามกับครูประจำช้้นทีละคน ต้นเทอมจะเหนื่อยมาก ๆ วุ่นวายมากไม่เป็นอันสอน สอบมาเป็นครูแต่ต้องมาทำอย่างอื่น
นี่คือหน้าที่ของครูในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีไว้สอน แต่เอาไว้ทำอย่างอื่น