หลังสภา กทม. เห็นชอบร่างศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน 2 ฉบับ เพิ่มสวัสดิการครู ค่าอาหารกลางวัน ขยายสิทธิศูนย์ดูแลเด็กนอกชุมชน เชื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทำให้กลไกรัฐ ช่วยพัฒนาศูนย์ดูแลเด็ก ในชุมชนแออัด ชุมชนเมือง
ตามที่การประชุมสภากรุงเทพมหานคร ลงมติเห็นชอบรับหลักการ ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน พ.ศ. …. ที่เสนอโดย เอกวิน โชคประสพรวย สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตราชเทวี และ ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน พ.ศ. …. ที่เสนอโดย ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมให้ตั้งคณะกรรมการวิสามัญ จำนวน 10 คน รวมถึงกำหนดเวลาแปรญัตติ 7 วันทำการ และกำหนดวันพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน

สำหรับเรื่องนี้ ชัชชาติ ย้ำถึงหลักการและเหตุผลของร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการสนับสนุนศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน พ.ศ…. ว่า เนื่องจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน กำหนดไว้ในกฎหมายหลายฉบับ แต่รองรับเฉพาะศูนย์ฯ ในชุมชนที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบของ กทม.เท่านั้น ทำให้เด็กก่อนวัยเรียน ที่อยู่นอกชุมชนไม่ได้รับการสนับสนุนและดูแลคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมเพื่อให้เด็กได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม สมควรตราข้อบัญญัติกรุงเทพฯเพื่อบังคับใช้ต่อไป ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ตามมาตรา 97 (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ระบุว่า การคลัง การงบประมาณ การเงิน การทรัพย์สิน การจัดหารผลประโยชน์จากทรัพย์สิน การจ้างและการพัสดุ ต้องตราเป็นข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร จึงจำเป็นต้องตราข้อบัญญัตินี้
“ค่าตอบแทนอาสาสมัครเรามีการปรับขึ้นตามวุฒิการศึกษา และอายุการทำงานทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ส่วนเรื่องระเบียบได้มีการร่างขึ้นมาแล้วฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาในเรื่องของรายละเอียด”
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร บอกว่า ร่างข้อบัญญัติศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนฉบับใหม่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กเล็กในกรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความครอบคลุมและลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะใน 3 ด้านหลัก ได้แก่
- การลดข้อจำกัดให้ศูนย์เด็กเล็ก ดูแลเด็กอายุน้อยลงได้ เพื่อรองรับพ่อแม่วัยทำงานที่ต้องกลับไปทำงานหลังลาคลอดเพียง 3 เดือน
- การเปิดโอกาสให้ศูนย์นอกชุมชน เช่น บ้านย่า บ้านยาย หรือศูนย์เด็กในสลัม ที่ไม่ได้อยู่ในชุมชนที่จดทะเบียน สามารถเข้าระบบการสนับสนุนของ กทม. ได้
- การเพิ่มงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำเป็น อาทิ สวัสดิการครู ค่าอาหารกลางวัน และค่าสาธารณูปโภค ทั้งนี้ยังคงยึดแนวทาง “กระจายอำนาจ” ให้ชุมชนมีบทบาทหลักในการดูแลศูนย์ฯ เช่นเดิม เพื่อให้เด็กเล็กในทุกพื้นที่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ

ขณะที่ เอกวิน อธิบายว่า ร่างข้อบัญญัติฉบับใหม่ว่า ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนตั้งแต่ก่อตั้งมาภายใต้ กทม. ยังไม่เคยมีข้อบัญญัติเฉพาะเป็นของตัวเอง ที่ผ่านมาอาศัยกรรมการชุมชนในการเบิกจ่ายเงิน ทำให้งบประมาณต่าง ๆ ลงไปไม่เพียงพอ และเป็นเสมือนการฝากเลี้ยงของฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม ของสำนักงานเขต ทำให้การดูแลยังมีความเหลื่อมล้ำอย่างมาก ทั้งเรื่องกายภาพ แต่ละพื้นที่ไม่มีงบประมาณปรับปรุงพื้นที่ ที่ผ่านมาจึงอาศัยการสนับสนุนจากภาคเอกชน พรรคการเมือง รวมไปถึงค่าอาหาร ค่านม แม้ กทม.จะมีงบประมาณดูแลแต่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งในสมัยของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้เพิ่มงบประมาณในส่วนนี้แต่ยังไม่เพียงพอ
“ถ้าเรามีข้อบัญญัติฉบับนี้ เรื่องค่าอาหาร และค่านม ก็อาจจะตั้งงบประมาณเพิ่มเข้าไปในสำนักพัฒนาสังคม สวัสดิการครู เงินเดือนครู อาสาสมัครดูแลเด็กที่เป็นคนในชุมชน หรือผู้สูงอายุที่ว่างงาน ทำให้สวัสดิการได้รับในมุมของอาสา แม้กระทั่งห้วงเวลาที่เด็กนอนกลางวัน ครูและอาสาก็ยังต้องมาเขียนการบ้านในระบบแบบเดิมเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว ไม่มีเอกสารหรือสื่อการเรียนรู้ให้เด็กได้มาทำ ต้องมาใช้ดินสอเขียนทีละคน ตรงนี้ก็ยังขาดงบประมาณให้ครู”
เอกวิน โชคประสพรวย
เอกวิน ยังกล่าวถึงอีกเรื่องที่สำคัญคือ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าน้ำดื่ม ทุก ๆ รายจ่ายของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไม่เคยมีงบประมาณไปให้เลย ทำให้ผู้ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หรือครูอาสา ต้องเจียดงบประมาณจากค่าอาหารให้น้อยลง เพื่อนำมาจ่ายเป็นค่าสาธารณูปโภค
มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ เชื่อ ช่วยเพิ่มศักยภาพครู ลดความเหลื่อมล้ำได้
ล่าสุดวันนี้ (31 ก.ค. 68) ศีลดา รังสิกรรพุม หรือ ครูต้อ ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ให้ความเห็นกับ The Active ว่า การเห็นชอบร่างข้อบัญญัติ กทม. ที่มีในส่วนของการให้ความสนับสนุนศูนย์เด็กฯ นอกสังกัด กทม. มองว่าเป็นเรื่องที่ดีในหลายมิติ เช่น เงินเดือนครูที่จะปรับเพิ่ม ซึ่งไม่ขึ้นมานานกว่า 10 ปีแล้ว จะเป็นสิ่งที่เสริมพลังใจให้กับครูอย่างมาก เพราะงานของครูมีเยอะ และจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของครู นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

ส่วนอีกประเด็นในเรื่องการขยายการสนับสนุนศูนย์เด็กฯ ที่อยู่นอกชุมชน ซึ่งมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับภาครัฐหลายแห่ง หากมีการแก้ข้อบัญญัติแล้วสามารถสนับสนุนการพัฒนาบ้านรับเลี้ยงเด็กได้ ก็จะทำให้กลไกจากภาครัฐ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เข้ามาพัฒนาศูนย์ดูแลเด็ก ซึ่งอยู่ในชุมชนแออัด ชุมชนเมืองต่าง ๆ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ระบุอีกว่า การพัฒนาเด็กเล็กตั้งแต่ในครรภ์ ถึง 6 ขวบปีแรก เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งปัจจุบันเด็กเกิดน้อยมาก และมากกว่า 60% เกิดในครัวเรือนเด็กที่ยากจน และวิกฤตของเด็กมีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเด็กติดมือถือมากขึ้น พ่อแม่มีความเปราะบางมากขึ้น มีลูกเร็วขึ้นในกลุ่มที่ไม่มีความพร้อม เรื่องภาวะเศรษฐกิจจากโควิด-19 ครอบครัวแยกทางกัน มองว่ามีทั้งวิกฤตของเด็กและวิกฤตของครอบครัว ขณะที่กลไกของภาครัฐแม้จะมีสวัสดิการอุดหนุนเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี แต่รัฐบาลไม่ยอมให้แบบถ้วนหน้า
“การลงทุนในเด็กคือสิ่งสำคัญ เพราะเขาคือแรงงานในอนาคต และถ้าเด็กได้รับการดูแลเร็วขึ้นคุณภาพชีวิตของเด็กก็จะดีขึ้น ในอนาคตเราจะมีนักเรียนที่เก่ง ฉลาด รวมไปถึงแรงงานที่มีคุณภาพด้วย อยากให้ภาครัฐลงทุนในการพัฒนาคนเป็นอันดับแรก ชีวิตเด็กที่เกิดขึ้นน้อยลง ทำอย่างไรถึงจะมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาปรับปรุง เช่น กทม. ปรับปรุงกฎระเบียบที่มีอยู่ที่ใช้เงินไม่ได้ หรือแม้กระทั่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่บางส่วนยังใช้งบฯ ไม่ได้ อยากให้มีการแก้ไขระเบียบ”
ศีลดา รังสิกรรพุม
ศีลดา ยังย้ำว่า อยากให้ศูนย์ดูแลเด็กของภาครัฐรับเด็กอายุน้อยลง เพราะในปัจจุบันรับ 2 ขวบขึ้นไปทั่วประเทศ ทำให้เด็กที่มีอยู่ 4.2 ล้านคน เข้าไปอยู่ในศูนย์เด็กเล็กประมาณ 2 ล้านกว่าคน ส่วนที่เหลือเข้าไม่ถึง หากภาครัฐจะลงทุนให้ศูนย์เด็กเล็กขยายช่วงอายุ อาจจะต้องมีการเพิ่มงบประมาณ เชื่อว่าจะทำให้เด็กมีโอกาสเข้าไปอยู่ในศูนย์เด็ก ซึ่งช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เสริมศักยภาพครอบครัวให้สามารถทำงานได้ ครอบครัวมีความมั่นคงมากขึ้น