ทุนมนุษย์ไทยถดถอย หวั่น ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ด้านโอกาส ยิ่งขยายตัว

สภาพัฒน์-ทีดีอาร์ไอ-ยูนิเซฟ ชี้ชัด เด็กเล็กขาดโภชนาการ ส่งต่อภาวะพัฒนาการล่าช้า เด็ก ป.2 เกินครึ่ง ทักษะการอ่าน-คำนวณ ต่ำกว่ามาตรฐาน ชี้ ความท้าทายพัฒนาทุนมนุษย์ในไทย คือ ช่องว่างการเข้าถึงบริการพื้นฐาน

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ร่วมกับ ยูนิเซฟ และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เผยแพร่รายงาน “การพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย: การวิเคราะห์ช่องว่าง อุปสรรค และทางเลือกเชิงนโยบาย” ชี้ให้เห็นภาพชัดเจนว่า ทุนมนุษย์ไทยกำลังเผชิญวิกฤต ทั้งในด้านโภชนาการ การพัฒนาการ และคุณภาพการศึกษา ส่งผลต่อศักยภาพการผลิตทางเศรษฐกิจในอนาคต

ทุนมนุษย์ หมายถึง ความรู้ ทักษะ สุขภาพ และคุณลักษณะอื่นที่แต่ละบุคคลสั่งสมตลอดชีวิต ถือเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในเวทีโลก อย่างไรก็ดี รายงานคาดการณ์ว่า เด็กไทยที่เกิดวันนี้เมื่อโตขึ้น จะมีระดับผลิตภาพเพียง 61% ของศักยภาพเต็ม ซึ่งยังตามหลังประเทศรายได้สูงและปานกลางระดับบน

เด็กเล็กกว่า 1 ใน 4 มีปัญหาทางโภชนาการ

หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งทุนมนุษย์ไทยคือ ภาวะทุพโภชนาการในเด็กเล็ก โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่า เด็กอายุ 0–5 ปี กว่า 12.8% ประสบภาวะแคระแกร็น 6.1% ผอมแห้ง และ 9.2% มีน้ำหนักเกิน เด็กในครัวเรือนรายได้น้อยมักประสบปัญหาผอมและเตี้ย ในขณะที่น้ำหนักเกินมักพบในครัวเรือนที่มีรายได้สูง โดยภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราแคระแกร็นสูงที่สุด ขณะที่กรุงเทพฯ มีเด็กน้ำหนักเกินมากที่สุด

นอกจากเรื่องโภชนาการแล้ว พัฒนาการที่ล่าช้าก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณอันตราย โดยข้อมูลจากการคัดกรองเด็กไทยในวัย 9 เดือนถึง 5 ปี พบว่า มีเพียง 79.2% เท่านั้นที่มีพัฒนาการเหมาะสมกับวัย สอดคล้องกับรายงาน ECDI 2030 ที่ระบุว่า เด็กไทยอายุ 2–5 ปี เพียง 77.8% เท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์ด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และพัฒนาการทางสังคม

รายงานยังชี้ว่า เด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้รับสวัสดิการเด็ก หรือไม่ได้เรียนปฐมวัย มีความเสี่ยงสูงต่อทั้งภาวะทุพโภชนาการและพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะในเด็กที่อาศัยในครัวเรือนยากจน มารดามีการศึกษาต่ำ และอาศัยในภาคเหนือและอีสาน

ข้อเสนอแนะในรายงานเน้นให้รัฐเพิ่มสวัสดิการเพื่อการเลี้ยงดูเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เช่น การให้เงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้า เพิ่มจำนวนเงินสนับสนุน และขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงหญิงตั้งครรภ์ รวมทั้งขยายโครงการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น เงินอุดหนุนสำหรับครอบครัวเครือญาติหรืออุปถัมภ์ พร้อมทั้งแนะว่า รัฐควรดึงงบประมาณจากมาตรการที่ไม่มีประสิทธิภาพมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ในส่วนของการดูแลเด็กและพัฒนาการ รายงานเสนอให้ขยายการเข้าถึงบริการปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2.5 ปี และปรับเวลาให้เหมาะกับผู้ปกครอง สนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน (PPP) เพิ่มงบให้ศูนย์พัฒนาเด็ก ฝึกอบรมผู้ดูแล และส่งเสริมวันลาเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับค่าจ้าง ขณะเดียวกันยังเสนอให้มีมาตรการเสริม เช่น คุมเข้มการโฆษณาอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ สนับสนุนอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และให้บริการคัดกรองพัฒนาการอย่างครอบคลุม โดยเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

เด็ก ป.2 เกินครึ่ง ทักษะการอ่าน-คำนวณ ต่ำกว่ามาตรฐาน

แม้ประเทศไทยสามารถเพิ่มการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับได้ดีขึ้นจากนโยบายเรียนฟรี แต่ คุณภาพการศึกษาไทยยังต่ำกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะในด้านทักษะพื้นฐานอย่างการอ่านและคำนวณ ข้อมูลจาก MICS 2022 พบว่า นักเรียน ป.2 เพียง 42% ที่มีทักษะการอ่านและคำนวณในระดับเหมาะสม และยังมีนักเรียน ม.3 ถึง 15% ที่ยังคำนวณไม่ได้ ในระดับ ป.2 ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงในกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กในครัวเรือนยากจน เด็กในพื้นที่ห่างไกล และเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลักในการสื่อสาร รายงานยังชี้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านทักษะพื้นฐานเห็นได้ชัดระหว่างกลุ่มเด็กที่ร่ำรวยและยากจน

เสนอปรับงบฯ สอดคล้องความต้องการพิเศษ รร.เล็ก-พื้นที่ห่างไกล

จากวิกฤตทุนมนุษย์ดังกล่าว รายงานเสนอให้ปรับสูตรงบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของโรงเรียนขนาดเล็กและพื้นที่ห่างไกล พร้อมแก้ปัญหาครูขาดแคลนผ่านการกระจายบุคลากร การจัดกลุ่มโรงเรียนใช้ทรัพยากรร่วมกัน และพัฒนาวิชาชีพครู นอกจากนี้ยังเสนอให้ปรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เช่น ป้องกันความรุนแรงในโรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพจิต และบูรณาการแนวคิดเรื่องทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้และอาชีพเข้าในหลักสูตร รวมถึงสนับสนุนบทบาทผู้ปกครองในการสร้างแรงจูงใจให้เด็ก

รายงานยังเสนอให้ยกระดับความช่วยเหลือสำหรับนักเรียนด้อยโอกาส เช่น การเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับนักเรียนยากจน ขยายโครงการ CCT และจัดการศึกษาแบบพหุภาษาเพื่อรองรับเด็กที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก รวมถึงส่งเสริมให้เด็กพิการเข้าถึงการศึกษาโดยจัดระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน และครูที่เข้าใจความต้องการเฉพาะ พร้อมผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการศึกษาที่เน้นสมรรถนะ โดยปรับหลักสูตร การประเมินผล การพัฒนาครู และการใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทการเรียนรู้ยุคใหม่

รายงานทิ้งท้ายว่า ความท้าทายสำคัญต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ในไทยคือช่องว่างในการเข้าถึงบริการพื้นฐาน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรยากจนที่ได้รับความช่วยเหลือไม่ทั่วถึงหรือไม่เพียงพอ แม้จะมีโครงการสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุนเด็กเล็กหรือการศึกษาฟรี แต่ยังไม่สามารถลดภาระต้นทุนแฝงและต้นทุนค่าเสียโอกาสได้ ส่งผลให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยยังเข้าไม่ถึงบริการที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัยอย่างแท้จริง และหากขาดระบบคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุม ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสก็จะยิ่งขยายตัว

อีกปัญหาคือการขาดการสนับสนุนกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ เช่น คนพิการ ผู้หญิงที่มีภาระดูแลครอบครัว และผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก กลุ่มเหล่านี้เผชิญอุปสรรคเฉพาะด้านที่นโยบายปัจจุบันยังตอบสนองได้ไม่เพียงพอ จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะตกหล่นจากระบบการศึกษาและการจ้างงาน (NEET) ขณะเดียวกันการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษายังไม่เป็นธรรม โรงเรียนขนาดเล็กหรือสถาบันในชนบทได้รับทรัพยากรน้อย ทำให้ขาดความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และคุณภาพการเรียนรู้

นอกจากนี้ ยังพบว่าหลักสูตรการเรียนและการฝึกทักษะส่วนใหญ่ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและตลาดแรงงาน โดยขาดทักษะสำคัญ เช่น การคิดวิเคราะห์ ทักษะอารมณ์ และการแก้ปัญหา พร้อมกับปัญหาแรงจูงใจในการเรียนรู้ของเด็กจากครัวเรือนยากจนที่ขาดความมั่นใจ การสนับสนุนจากครอบครัว และเผชิญสภาพแวดล้อมการเรียนที่ไม่ปลอดภัย

ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคเชิงจิตสังคมที่สะสมต่อเนื่อง ส่งผลยาวนานถึงการเข้าสู่ตลาดแรงงานและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ขณะที่นโยบายปัจจุบันยังขาดความต่อเนื่องและบูรณาการในการแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นระบบ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active