‘ศานนท์’ แจงนโยบายเปิดโอกาสทางการศึกษา ไม่กระทบสิทธิเด็กไทย หลังพบบางโรงเรียน ถูกข่มขู่จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรับเด็กต่างชาติ
วันนี้ (1 ก.ย. 68) เพจ หวังสร้างเมือง โพสต์ชี้แจงกรณีการจับกุมเด็กนักเรียนชาวกัมพูชาวัย 13 ปีเมื่อสัปดาห์ก่อน และกรณีที่กรุงเทพมหานคร เผยแพร่นโยบายเปิดโอกาสทางการศึกษาเมื่อไม่กี่วันมานี้ โดยระบุว่า ประเด็นดังกล่าวสร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ อีกทั้งยังได้รับข้อความจากครูหลายแห่งว่าเริ่มถูกข่มขู่จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดรับเด็กต่างชาติ ขณะที่ผู้บริหารโรงเรียนบางส่วน ก็มีความกังวลและเกิดความสับสนในการปฏิบัติ

ย้ำเด็กไทยต้องมาก่อน – ดูแลเด็กต่างชาติ เป็นคุณต่อสังคมไทย
ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในนามเพจ หวังสร้างเมือง ย้ำว่า โรงเรียนสังกัด กทม. มีความพร้อมรองรับเด็กไทยทุกคน โดยปัจจุบันทั้ง 437 โรงเรียน มีนักเรียนรวม 256,703 คน จากความจุที่รองรับได้เกือบ 300,000 คน อีกทั้งยังมีนโยบายลดอายุรับเข้าเหลือ 3 ขวบ เพื่อพัฒนาเด็กในวัยสำคัญให้เข้าระบบเร็วขึ้น
ข้อมูลปีการศึกษา 2568 ระบุว่า จำนวนนักเรียนทั้งหมด มีเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือ ไร้สัญชาติ 24,221 คน คิดเป็นร้อยละ 9.44 ของนักเรียนทั้งหมด ซึ่งการเปิดรับกลุ่มนี้ไม่ได้กระทบสิทธิของเด็กไทย เนื่องจากมีการจัดสรรทรัพยากรและกำหนดเกณฑ์อย่างเหมาะสม ครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่ม
การเปิดรับเด็กต่างชาติยังช่วยให้ครอบครัว เข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมาย เพราะต้องยื่นพาสปอร์ต ใบอนุญาตทำงาน และเอกสารยืนยันตัวตน อีกทั้งในกรณีผู้ลี้ภัยหรือเด็กไร้สัญชาติ กทม. ทำงานร่วมกับ UNICEF เพื่อไม่ให้เด็กถูกทอดทิ้ง ย้ำว่าการดำเนินการเหล่านี้ไม่กระทบทรัพยากรของเด็กไทย
เพราะเมื่อเด็กได้รับการศึกษา ปัญหาอาชญากรรมจะลดลง ครอบครัวเข้มแข็งขึ้น และสังคมสงบสุข ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต มากกว่าการใช้งบประมาณเพื่อแก้ปัญหาภายหลัง
นอกจากนี้ ปัจจุบันโรงเรียนสังกัด กทม. ดูแลเด็กพิการ กว่า 5,000 คน และอยู่ระหว่างขยายการรองรับ ทั้งการเพิ่มโรงเรียนเฉพาะทาง จัดหาครูการศึกษาพิเศษ และพี่เลี้ยงเพื่อดูแลเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ทั้งหมดดำเนินไปตามกรอบกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน
“การทำให้ทุกคนได้รับการศึกษา ไม่ใช่การช่วยเหลือ เขา อย่างเดียว
ศานนท์ หวังสร้างบุญ
แต่คือการช่วย เรา ด้วยครับ”
ก้าวต่อไปของ กทม. หลังจากประกาศเจตนารมณ์เป็น เมืองสิทธิมนุษยชน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กทม.จะร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติ จัดกิจกรรมให้ความรู้และแนวทางแก่ครู เพื่อรับมือกับข้อโต้แย้งและจัดการความขัดแย้งในโรงเรียน พร้อมย้ำว่าการทำให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา ไม่ใช่การช่วยเหลือเฉพาะเขา แต่คือการสร้างอนาคตที่ปลอดภัยให้กับเราทุกคน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา เอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงนโยบายด้านการศึกษา ว่า กทม.ยึดหลักจัดการศึกษาเพื่อเด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไร้สัญชาติสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนสังกัด กทม. ตามมติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 และประกาศกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการศึกษาแก่เด็กทุกคนที่พำนักในประเทศไทย
“กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่เติบโตจากความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรียนสังกัด กทม. จึงไม่เพียงเป็นสถานที่เรียนรู้วิชาการ แต่ยังเป็นพื้นที่ปลูกฝังการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โรงเรียนของเราเปิดกว้างต้อนรับทั้งเด็กไทยและเด็กจากครอบครัวแรงงานข้ามชาติ เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะเติบโตในเมืองที่เท่าเทียม เคารพสิทธิมนุษยชน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
เอกวรัญญู อัมระปาล
สำหรับแนวทางการรับนักเรียน โรงเรียนสังกัด กทม. ครอบคลุมตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีกำหนดจำนวนห้องเรียน จำนวนนักเรียนต่อห้อง ขั้นตอนและระยะเวลาการรับสมัครไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนและผู้ปกครองดำเนินการได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังรองรับโรงเรียนที่มีรูปแบบพิเศษ เช่น โรงเรียนสองภาษา และโรงเรียนที่จัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ