จาก ‘หมอนทองฟีเวอร์’ สู่การศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

‘เพราะเราลงทุนกับผู้แพ้มาก่อน เราจึงมีผู้ชนะในวันนี้’ ผู้จัดการ กสศ.ชวนคิด จากกรณี ‘หมอนทองฟีเวอร์’ สู่โจทย์การศึกษาไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การสร้างโอกาสทางการศึกษา ไม่ควรจำกัดเฉพาะวิชาการ และต้องลงทุนตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่วันที่พวกเขาประสบความสำเร็จ

วันนี้ (9 พ.ย.2568) ยังคงเป็นกระแสให้สังคมได้พูดถึงและแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย กับกรณี ‘หมอนทองฟีเวอร์’ และเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา สนามศุภชลาศัยก็เต็มไปด้วยเสียงเชียร์สะเทือนอัฒจันทร์ เมื่อโรงเรียนหมอนทองวิทยา ทีมฟุตบอลไร้ชื่อจากอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ก้าวสู่รอบชิงศึกฟุตบอลนักเรียน 7 คน ‘แชมป์กีฬา 7HD แชมป์เปี้ยนคัพ 2025‘ ก่อนพ่ายทีม อบจ.ชัยนาท ไปอย่างสูสี 2-1 ประตู แต่เบื้องหลังความพยายามของนักเรียนผู้มีฝันเหล่านั้น ชวนให้ผู้ใหญ่กลับมาตั้งคำถามว่า ‘ระบบการศึกษา’ ที่ไม่ทิ้งความฝันใดของเยาวชนควรมีหน้าตาแบบใด?

เบื้องหลังความฝันของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ คือ รถสองแถวสีน้ำเงินคันเก่า ที่อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ หรือ ‘โค้ชสกล’ ผู้ดูแลทีมฟุตบอล ใช้ขับพาทีมออกเดินทางจากฉะเชิงเทรามายังกรุงเทพฯ หลายคนให้สมญานามว่า ‘รถขนฝัน’ ซึ่งมาจากกความเชื่อของเด็กในพื้นที่ว่า ความพยายามของพวกเขาจะไปถึงจุดหมายได้ แม้ต้องฝ่าเส้นทางการศึกษาที่เต็มไปด้วยรอยตะเข็บ The Active ชวนพูดคุยกับ ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หนึ่งในองค์กรที่ใช้กีฬาและความฝันอันหลากหลายของเยาวชนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อหาคำตอบว่า เราจะสร้างการศึกษาที่ไร้รอยต่อนี้ให้กับพวกเขาอย่างไร?

เพราะมีฝัน จึงมีการศึกษา

กรณีของหมอนทองวิทยาไม่ได้สะท้อนเพียงความขาดแคลนงบประมาณ แต่ยังสะท้อนข้อจำกัดของโครงสร้างการสนับสนุนเยาวชนในระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กในแต่ละพื้นที่ โรงเรียนขนาดกลางและเล็กในต่างจังหวัดมีเด็กที่มีพรสวรรค์ แม้ครอบครัวจะมีต้นทุนหรือฐานะจำกัด หรือที่เรียกว่า ‘เด็กช้างเผือก’ แต่รัฐยังไม่สามารถพัฒนาพวกเขาได้เต็มที่ เพราะระบบการศึกษายังตีกรอบความหมายของการศึกษาเกินไป และการลงทุนด้านการศึกษายังไม่เพียงพอ ทำให้การศึกษาไทยยังมีค่าใช้จ่ายสูงและไม่ได้เป็นของฟรีอย่างแท้จริง ส่งผลให้เด็กหลายคนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างไม่มีทางเลือก

ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา อธิบายว่า ตามนิยามใน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 4 ระบุว่าการศึกษาเป็น “กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม” ไม่ได้จำกัดเพียงการเรียนหนังสือเชิงวิชาการหรือการสอบวัดผล ดังนั้น สนามศุภชลาศัยจึงเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชน เพียงแต่พื้นที่แบบนี้ยังคงกระจุกในเมืองหลวง เมืองใหญ่ พื้นที่ที่ให้โอกาสเด็กในความสามารถแบบอื่น ๆ ยังคงมีอย่างจำกัดในพื้นที่ต่างจังหวัด หรือพูดง่าย ๆ ว่า โอกาสในการทำฝันให้เป็นจริงยังไม่ได้เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

ที่ผ่านมา กสศ.เริ่มทำงานกับเยาวชนที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา เช่นเด็กในครัวเรือนยากไร้ ผ่านโครงการ Thailand Zero Dropout ซึ่งมีเป้าหมายให้เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาได้กลับมาเรียนรู้ตามศักยภาพของตนเอง กสศ.พบว่าไม่ใช่เยาวชนทุกคนต้องการเรียนสายวิชาการหรือมุ่งสู่การศึกษาระดับปริญญา แต่เด็กแต่ละคนมีความฝันและเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งในกรณีนี้กีฬาก็เป็นพื้นที่ที่ทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะ มีความสามารถ และต่อยอดเป็นวิชาชีพของพวกเขาได้

อย่างไรก็ตาม ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กที่ต้องการเดินบนเส้นทางกีฬา เด็กมักถูกบังคับให้เลือกระหว่าง ‘วิชาการ’ กับ ‘กีฬา’ นอกจากนี้ อาชีพนักกีฬายังถูกมองว่าไม่มีความมั่นคง ทำให้ทั้งเด็กและครูผู้ฝึกสอนรู้สึกท้อแท้ โดยเฉพาะเมื่อครอบครัวกดดันให้เด็กมุ่งสู่เส้นทางการศึกษาตามแบบแผนมากกว่าการตามฝัน ไกรยส ยกตัวอย่างกรณีที่ กสศ.ได้เข้าไปติดตามในพื้นที่ตำบลปางหลวง จังหวัดลำปาง ซึ่งมีนักเรียนที่มีผลการเรียนตกต่ำ (ติด ร) แต่กลับตั้งใจจะแก้ไขผลการเรียนเพื่อแลกกับโอกาสได้ไปแข่งฟุตบอลที่สนามศุภชลาศัย เหตุการณ์นี้สะท้อนว่า เมื่อเด็กได้มีเป้าหมายที่ผูกโยงกับความฝัน พวกเขาก็พร้อมจะกลับมาพัฒนาตนเองและเรียนรู้ต่อไป

“เมื่อเราเอาความฝันและความสนใจของเด็กมาผูกกับการศึกษาและการพัฒนาตัวเอง จะเห็นว่ามีทางร่วมกันอยู่ เด็ก ๆ ที่ได้ลงสนามฟุตบอล แม้ถูกยิงประตูนำ ก็ไม่ถอยกลับเหมือนเวลาสอบตก แต่เพราะพวกเขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองฝัน เด็กจะตั้งใจทำเต็มที่ และไม่ยอมแพ้ นี่ไม่ใช่เฉพาะหมอนทองวิทยา แต่เกิดขึ้นกับหลายทีมที่เราเห็นแข่งขัน”

ไกรยส ภัทราวาท

ปรากฏการณ์หมอนทองฟีเวอร์สะท้อนให้เห็นศักยภาพของกิจกรรมกีฬาในการสร้างแรงจูงใจให้เด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างมีนัยยะสำคัญ เด็กหลายคนเคยมีผลการเรียนตกต่ำ หรือเสี่ยงหลุดจากโรงเรียน แต่เมื่อได้รับโอกาสเข้าร่วมทีมฟุตบอล พวกเขากลับมีเป้าหมายในชีวิตและวินัยมากขึ้น

อย่าให้ ‘รถขนฝัน’ เป็นเดอะแบกการศึกษาไทย

The Active ชวนถามถึงคำเปรียบเปรยอย่าง ‘รถขนฝัน’ ของทีมหมอนทองวิทยา ว่าควรจะมีหน้าตาอย่างไร ไกรยส อธิบายว่า รถขนฝันในเชิงระบบหมายถึง ‘กลไก’ ที่ลำเลียงเด็กมีฝันและความสามารถจากทุกพื้นที่ให้สามารถเดินทางสู่โอกาสได้อย่างปลอดภัยและเท่าเทียม เขาเปรียบเปรยว่า รถขนฝันควรเป็นรถที่มั่นคง ปลอดภัย และครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อให้เด็กทุกคนไม่ว่ามาจากที่ใดสามารถเข้าถึงโอกาสเดียวกันได้ นอกจากนี้ ความฝันของเด็กไม่จำกัดอยู่แค่กีฬาเท่านั้น แต่รวมถึงศิลปะ ดนตรี การแสดง หรืออาชีพใหม่ ๆ ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนอย่างเสมอภาค

อุปมาอุปไมยนี้นำไปสู่ข้อสรุปว่า การศึกษาไม่ควรฝากความหวังไว้ที่รถขนฝันเพียงลำพัง เพราะหากรถขนฝันนั้นมีสภาพเก่า คับแคบ มีจำนวนจำกัด โอกาสที่เราจะได้พัฒนาเด็กไทยซึ่งมีความสามารถอยู่แล้วให้เก่งมากขึ้นยิ่งมีน้อยลงไปอีก ดังนั้นระบบการศึกษาที่ให้โอกาสอย่างเท่าเทียม จึงต้องจัดสรร ‘ทรัพยากร’ อย่างเป็นธรรม ในกรณีนี้ ไกรยส เสนอว่า ประเทศไทยควรวางระบบพัฒนาเยาวชนกีฬาให้มีความต่อเนื่องตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงระดับชาติ โดยใช้แนวทางคล้ายกับอะคาเดมีของสโมสรฟุตบอลต่างประเทศที่ลงทุนกับทีมเยาวชนอย่างจริงจัง พร้อมกำหนดเงื่อนไข เช่น เด็กต้องมีผลการเรียนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์และจบการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้การศึกษาและกีฬาเดินคู่กันได้

“รถขนฝันคือระบบที่จะลำเลียงเด็กที่มีพรสวรรค์ให้ทำความฝันให้เป็นจริงได้อย่างปลอดภัย หากระบบไม่พร้อมหรือ รถเสี่ยงอุบัติเหตุได้ง่าย เหมือนเราพบเห็นบ่อย ๆ ตามหน้าข่าว ฝันของเด็กก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เริ่มต้น”

ไกรยส ภัทราวาท

ไกรยส ระบุว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีสนามฟุตบอลอยู่แล้ว แต่ไม่มีโค้ชกีฬาเต็มเวลา ขาดงบฯซ่อมบำรุงสนาม รวมถึงไม่มีทุนสนับสนุนสำหรับการเดินทางแข่งขัน ทำให้โอกาสของเด็กเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความเสียสละของครูและการระดมทุนในชุมชนมากกว่าการสนับสนุนจากระบบกลาง อย่างกรณีของโรงเรียนหมอนทองวิทยาก็เกิดจากความตั้งใจของโค้ชที่เกษียณจากโรงเรียนชื่อดังและยังมุ่งมั่นพัฒนาเยาวชนต่อ จึงสะท้อนว่าความสำเร็จปัจจุบันยังขึ้นกับบุคคลมากกว่าระบบ

ซินเดอเรลล่าโมเดล:
การลงทุนต้องเริ่มตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่วันที่พวกเขาประสบความสำเร็จ

แม้จะดูน่าชื่นใจแทนเยาวชนที่ได้รับโอกาส แต่เบื้องหลังยังมีเด็กอีกหลักล้านที่แสงไฟยังส่องไปไม่ถึงพวกเขา สิ่งที่สังคมควรขบคิดกันต่อคือ เราควรผลักดันเยาวชนที่ยังไม่ได้รับโอกาสนั้นอย่างไร เพราะหากไม่มีการต่อยอดอย่างเป็นระบบ ปรากฏการณ์นี้อาจกลายเป็นเพียงกระแสชั่วคราว ชื่นชมและอัดฉีดเงินรางวัลในวันที่พวกเขาสำเร็จ แต่การสร้างโครงสร้างสนับสนุนเยาวชนจึงควรเริ่มตั้งแต่ระดับตำบล ไม่ใช่เพียงระดับการแข่งขันระดับชาติ

“ไม่ใช่ลงทุนแต่ผู้ชนะ แต่เราต้องลงทุนในผู้ที่ยังไม่ชนะวันนี้เพื่อให้เขาชนะ”

ไกรยศ ภัทราวาท

ไกรยส มองว่า แนวคิดการสนับสนุนเยาวชนนั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดปรากฏการณ์หมอนทองฟีเวอร์ แต่ยังต้องมีการหารือและวางระบบให้ชัดเจน โดยเน้นการลงทุนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ ครอบคลุมทั้งการดูแลสุขภาพ การฝึกซ้อม การเดินทาง และอุปกรณ์ เพื่อให้เด็กได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่และเสมอภาค ไม่ใช่เพียงลงทุนกับผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว การลงทุนในเยาวชนต้องมองไปข้างหน้า ให้โอกาสกับเด็กทุกพื้นที่โดยเฉพาะชนบท ทั้ง 77 จังหวัด ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดซินเดอเรลล่าโมเดล แต่ควรสร้างโอกาสตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองและสร้างความสำเร็จในอนาคต

ในฤดูกาลเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง ไกรยส เน้นว่า นโยบายการศึกษาไทยควรเป็นวาระลำดับต้นของรัฐบาลใหม่ ไม่ใช่เพียงกระทรวงที่ถูกจัดลำดับรองจากเศรษฐกิจ การลงทุนในคนต้องถูกมองเป็นการลงทุนแห่งอนาคต พร้อมปลดล็อกปัญหาค้างคา เช่น การปรับหลักสูตร การประเมินผล และการบังคับใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ให้เสร็จสมบูรณ์ นโยบายการศึกษาในอนาคตต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะในตลาดแรงงานและเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามามีบทบาทรวดเร็ว การออกแบบนโยบายจึงควรมุ่งให้เยาวชนสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้จริง

ไกรยศ ทิ้งท้ายว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่การลงทุนเพื่อการศึกษานั้นจำเป็นต้องทำ ต้องเริ่มตั้งแต่ผู้ที่ยังไม่ชนะวันนี้ เพื่อให้พวกเขามีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคต เด็กเยาวชนในชนบททุกจังหวัดควรได้รับการสนับสนุนตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอให้เกิดกระแส ‘หมอนทองฟีเวอร์’ เพียงปีละครั้ง เพราะเยาวชนไทยทุกคนล้วนมีศักยภาพมากที่รอวันเฉิดฉายได้ทุกวัน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active