“รักชาติไทย ใส่ใจโลก” ถกนิยามคำขวัญวันเด็ก 69 เมื่อความหมายของความรัก ถูกกำหนดโดยผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก ?

“รักชาติไทย ใส่ใจโลก”

นี่คือคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้มอบให้กับเด็ก เยาวชนเนื่องในวันสำคัญที่กำลังจะมาถึง ซึ่งทางรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผยถึง ความหมายของคำขวัญดังกล่าวพยายามเน้นปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรักและความภาคภูมิใจในชาติ ควบคู่กับการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และประชาคมโลก

พร้อมย้ำว่า คำขวัญดังกล่าวสะท้อนแนวคิดการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างรอบด้าน ให้มีจิตสำนึกในความเป็นไทย เคารพกติกา อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเปิดมุมมองสู่โลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลก

The Active ชวนวิเคราะห์ถ้อยคำ ความหมายของคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 ผ่านเสียงสะท้อนของทั้งภาคเยาวชน และนักวิชาการ ที่ชี้ให้เห็นมิติที่หลากหลายของคำขวัญดังกล่าว ตั้งแต่การเปิดมุมมองสู่โลกยุคใหม่ ไปจนถึงข้อสังเกตเชิงการเมืองต่อความหมายของคำว่า “รักชาติ” ในบริบทของรัฐศาสตร์และอุดมการณ์ร่วมสมัย

ขอกำหนดเองว่า ‘รัก’ ควรเป็นอย่างไร?

อนิก พลทัตพชระ โฆษกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ให้มุมมองถึงคำว่า “ใส่ใจโลก” เป็นส่วนที่ทำให้คำขวัญปีนี้มีความหมายมากขึ้น เพราะสะท้อนว่าการมองโลกในปัจจุบันไม่อาจจำกัดอยู่แค่กรอบประเทศอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือแนวคิดการทำงาน หากประเทศไทยยังมองเพียงบริบทภายใน ก็อาจตามโลกไม่ทัน

เขาอธิบายว่า “โลก” ไม่ได้หมายถึงสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่คือระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่ทุกประเทศและทุกคนเชื่อมโยงกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความคิด ตัวอย่างเช่น หากทั้งโลกเริ่มใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการทำงาน แต่เด็กไทยกลับไม่เข้าใจหรือใช้งานไม่เป็น ก็อาจทำให้เสียโอกาสในอนาคต ซึ่งคำขวัญนี้อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นให้สังคมหันมาคิดว่า ประเทศไทยควรปรับตัวอย่างไรให้เดินไปในทิศทางเดียวกับโลก

อนิก พลทัตพชระ โฆษกสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย

ส่วนในมุมของคำว่า “รักชาติ” เขามองว่า ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่เพลงชาติ ประวัติศาสตร์ หรือสัญลักษณ์ แต่ควรนับรวมถึงผู้คน ทรัพยากร และชีวิตของคนในประเทศ โดยเห็นว่าการรักชาติและการใส่ใจโลกไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะทั้งสองอย่างสามารถเดินไปพร้อมกันได้ หากการกระทำใดของประเทศขัดกับสายตาประชาคมโลก ก็อาจส่งผลกระทบกลับมาที่ประชาชนในประเทศเอง ซึ่งเด็กและเยาวชนต้องรู้เท่าทันและได้รับการสนับสนุนจากรัฐให้ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม

โฆษกสภาเด็กฯ ยังชี้ว่า หากรัฐต้องการให้เยาวชนเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ การเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมต้องไปไกลกว่าการรับฟังเชิงสัญลักษณ์ โดยเฉพาะการกำหนดนโยบายระยะยาว เช่น แผนยุทธศาสตร์ชาติทั้งหลาย ซึ่งเยาวชนในฐานะผู้ที่จะต้องใช้ทรัพยากรในอนาคต ควรมีสิทธิร่วมคิด ร่วมออกแบบ และร่วมตัดสินใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการเชิญมาแสดงความคิดเห็นแค่ “ไม้ประดับ”

“ถ้าเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เราคงไม่อยากมาฟังแผนตอนที่เขียนเสร็จแล้ว ทั้งที่เราเป็นคนที่จะต้องใช้ทรัพยากรนั้นในอนาคต และเป็นเจ้าของทรัพยากรร่วมเหมือนกัน แต่กลับไม่มีสิทธิแม้กระทั่งร่วมรับฟัง ร่วมคิด หรือร่วมตัดสินใจ บางครั้งก็เปิดให้คิดแค่ในระดับไม้ประดับ

…ในฐานะเจ้าของทรัพยากรร่วม ผมมองว่าเยาวชนควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อย่างน้อยควรมีหนึ่งเสียงในคณะกรรมาธิการหรือบอร์ดสำคัญ เพื่อสะท้อนมุมมองต่อเรื่องที่กระทบกับอนาคตของพวกเราจริง ๆ”

อนิก พลทัตพชระ

อนิก ยังสะท้อนข้อจำกัดของสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ซึ่งแม้จะเป็นกลไกตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นตัวแทนเด็กและเยาวชน แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ ทั้งด้านบุคลากรและอำนาจเชิงนโยบาย ทำให้ศักยภาพที่ควรจะมีไม่ถูกใช้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเยาวชนก็เคยมีบทบาทผลักดันนโยบายได้จริง เช่น ประเด็น TCAS ฟรี หรือการมีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายด้านการศึกษา ซึ่งสะท้อนว่าหากรัฐเปิดพื้นที่จริง เยาวชนสามารถมีบทบาทมากกว่าที่เป็นอยู่

การศึกษาที่ควรสอนให้เด็กรู้จักรักตัวเองและผู้อื่น

ขณะที่ ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองคำขวัญวันเด็ก ปี 2569 ในอีกมุมหนึ่ง โดยเน้นไปที่คำว่า “รักชาติ” เป็นคำที่มีความหมายกว้าง และมีน้ำหนักทางการเมืองสูง หลายครั้งเคยถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อโฆษณาอุดมการณ์บางอย่าง เมื่อถูกใช้ในบริบทของรัฐบาลปัจจุบัน (รัฐบาลอนุทิน) คำว่า “ชาติ” มีแนวโน้มผูกโยงกับสถาบันหลัก และจารีตมากกว่าการวางประชาชนเป็นศูนย์กลาง แม้เราจะไม่อาจปฏิเสธว่าประชาชนยังเป็นส่วนหนึ่งของชาติด้วยเช่นกัน

เหตุที่เขาเชื่อเช่นนั้น เพราะมีข้อสังเกตที่ว่า การนำคำว่า “รักชาติ” กลับมาใช้ในคำขวัญวันเด็ก หลังจากไม่ปรากฎมาร่วม 20 ปี สอดคล้องกับแนวโน้มการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่เน้นเรื่องดินแดน เอกราช และอธิปไตย ซึ่งในบางสถานการณ์อาจนำไปสู่บรรยากาศของความ “คลั่งชาติ” ขณะที่คำว่า “ใส่ใจโลก” กลับดูมีลักษณะเป็นคำกว้าง ๆ ที่เน้นการรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกมากกว่าการสื่อสารเชิงอุดมการณ์

ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

ผศ.ศิวพล ยังมองคำว่า “ใส่ใจโลก” คือการเข้าใจว่าประเทศไทยกำลังถูกจับตามองจากประชาคมโลกอย่างไร รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและสร้างช่องว่างระหว่างวัย หากสังคมไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อาจทำให้คนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จและเทคโนโลยีที่ไม่เข้าใจ และอาจส่งผลกระทบมายัง “ชาติ” อันหมายถึงประชาชนคนตัวเล็ก ดังนั้นการจะรักชาติก็ปฏิเสธไม่ได้ที่เราจะต้องใส่ใจโลกควบคู่ไปด้วย

เขายังชี้ให้เห็นว่า การปลูกฝังให้เด็ก “รักชาติ” และ “ใส่ใจโลก” ไม่อาจทำได้ด้วยคำขวัญเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้เด็กคิด พูด ทดลอง และผิดพลาดได้ โดยโรงเรียนและครูควรทำหน้าที่สร้างความรู้สึกว่าเด็กมีคุณค่า เป็นมนุษย์ที่ควรเคารพตนเองและผู้อื่น มากกว่าการหล่อหลอมให้ทุกคนคิดเหมือนกัน

คำขวัญวันเด็กปีนี้จึงเป็นคำถามสำคัญต่อรัฐและสังคมว่า จะเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการนิยามความหมายของคำว่า “รักชาติ” และการอยู่ร่วมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้มากเพียงใด

“วิธีทำให้เด็กพร้อมต่อโลกปัจจุบันคือ เปิดโอกาสให้เขารู้สึกว่าได้เป็นมนุษย์อย่างที่ควรเป็น เป็นมนุษย์ที่เคารพตัวเองและเคารพผู้อื่น อย่างเรื่องวิชาการเราให้เด็กเต็มที่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดคือการสอนให้รักตัวเอง บางวิชาอย่างศีลธรรมหรือจริยธรรม เราเรียนกันเยอะ แต่ก็ยังต้องถามว่าเรียนไปเพื่ออะไร เพราะสุดท้ายสิ่งสำคัญคือการเคารพตัวเองและคนอื่น ซึ่งควรปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เพื่อให้โตขึ้นเป็นทั้งคนที่ รักชาติ และ ใส่ใจโลก ตามแบบที่เขาเลือกได้เอง”

ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active