เครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้ เดินหน้าจัดทำแผน-ข้อเสนอ เตรียม กม.ลูกรองรับ จี้สภาฯ เร่งผ่าน กม.ชาติพันธุ์ บังคับใช้โดยเร็ว หวัง ‘แพทองธาร-เพื่อไทย’ ใช้โอกาสนี้ทำผลงาน สร้างความน่าเชื่อถือ กู้วิกฤตศรัทธา
เมื่อวันที่ 22 – 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ ร่วมกับ สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (สชพ.) และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) จัดเวที ชาติพันธุ์ภาคใต้มั่นยืน สร้างความเข้าใจ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ… และเตรียมร่วมจัดงานวันชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “สายน้ำ ทะเล ผืนป่า กับคุณค่าพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ภาคใต้” ณ ชุมชนไทดำ วัดดอนมะลิ ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
โดยมีตัวแทนชาติพันธุ์ และชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ 6 กลุ่ม ได้แก่ ชาวเลมอแกน, มอแกลน, อูรักลาโว้ย, มันนิ, โอรังอัสลี และ ไทดำ รวมถึงตัวแทนชนเผ่าพื้นเมืองจากภูมิภาคต่าง ๆ เข้าร่วมด้วย
ชาติพันธุ์มั่นยืน ส่งเสียงสภาฯ เร่งดัน กม.ชาติพันธุ์

เครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้ ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ เรื่อง 15 ปี มติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล สู่ความหวังกฎหมายคุ้มครอง 6 ชาติพันธุ์ภาคใต้ โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า เป็นเวลานับหลายร้อยปี ที่บรรพชนของชาติพันธุ์ทั้ง 6 กลุ่ม ได้ก่นสร้าง แผ้วถางแหล่งทำกิน ถักทอสายใยสายสัมพันธ์ฉันเครือญาติ ประกอบสร้างเป็นชุมชนอันอบอุ่นที่ยังอุดมไปด้วยวีถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ และอัตลักษณ์อันทรงคุณค่า ซึ่งเป็นหลักฐานการดำรงอยู่ของพวกเราในนามกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในภาคใต้
แต่ชีวิตอันเคยสงบสุขและเรียบง่ายนั้น กลับถูกกระทำย่ำยีโดยภาครัฐ ที่เดินหน้าประกอบสร้างภาพลักษณ์ให้ล้าหลังด้อยการพัฒนา ขีดแบ่งเส้นชนชั้นให้ผู้มีวิถีแตกต่างจากวัฒนธรรมกระแสหลัก ต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ปฏิบัติการอันเลวร้ายจากการผลิตสร้างอคติต่อเรานั้นคือการเกิดขึ้นของกฎหมายและนโยบายอันไม่เป็นธรรม ทำให้เราขาดความมั่นคงใน 7 ด้านสำคัญ คือ
- ขาดความมั่นคงในที่ดิน ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน
- ขาดสิทธิสถานะทางทะเบียนราษฎร์
- ขาดโอกาสทางการศึกษา
- เข้าไม่ถึงระบบบริการสุขภาพ
- ไม่ได้รับสวัสดิการแห่งรัฐ
- ขาดรายได้ ไม่มีอาชีพที่มั่นคง
- ไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่นไฟฟ้า ประปา ถนน เป็นต้น
แต่อีกด้านก็ประเคนให้กลุ่มทุนและชนชั้นนำ นั่นทำให้วีถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ และอัตลักษณ์อันทรงคุณค่าของเราค่อย ๆ ถูกทำให้เปลี่ยนสภาพไปจนใกล้จะสูญหายเต็มที่
ท่ามกลางสถานการณ์ยากลำบากนั้น เรายังสั่งสมพลังใจลุกขึ้นร่วมกันต่อสู้ จนเกิดเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 มิถุนายน 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ถือเป็นฐานทางนโยบายขั้นแรกที่ทำให้เราสามารถยืนหยัดในวิถีเผ่าพันธุ์ ตลอดจนลุกขึ้นต่อกรกับอำนาจรัฐ นำมาสู่ความหวังว่าเราจะมีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติมาคุ้มครองเรา และได้ร่วมกันผลักดันจนเกิดร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรนและวุฒิสภาแล้วเสร็จ โดยมีเจตนารมณ์ให้เป็นกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรม ตามหลักการมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญ ครอบคลุมหลักการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรม ส่งเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์และสร้างความเสมอภาค

แม้ภายหลังการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีบทบัญญัติบางประการที่ถูกลดทอนลงไปจากความไม่เข้าใจของพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งรวมถึงอคติของ สส.และ สว.บางคน อาทิ การไม่ยอมรับการมีตัวตนของ “ชนเผ่าพื้นเมือง” และการไม่ยอมรับให้ “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ได้เป็นอิสระจากกฎหมายป่าไม้-ที่ดิน แต่อย่างน้อยที่สุดในกระบวนการผลักดันร่างกฎหมายนี้ได้ผ่านการมีส่วนร่วมของพี่น้องชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งมีมากกว่า 60 กลุ่ม เราได้ร่วมกันตั้งแต่การยกร่างกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมาย และขับเคลื่อนทางนโยบายเพื่อให้ร่างกฎหมายของภาคประชาชนได้บรรจุในการพิจารณาของรัฐสภาได้ในที่สุด
“เราเห็นว่า แม้กฎหมายฉบับนี้จะมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่การมีกฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือที่พี่น้องชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองจะสามารถใช้ต่อรองกับบรรดากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอื่น ๆ ของหน่วยงานรัฐได้มากขึ้น”
ดังนั้นขอส่งเสียงถึงรัฐสภาให้เห็นความสำคัญของการเดินหน้าพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยการเร่งเดินหน้าผ่านกฎหมายให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันเบื้องต้นว่าเราจะไม่ถูกละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากกว่านี้ และยังแสดงให้เห็นว่ารัฐสภายังเคารพเสียงและเจตนารมณ์ของประชาชนอยู่บ้าง รวมถึงเคารพตัวตนของเราในนามกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง
“และอยากให้เสียงนี้ดังไปถึงพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดำรงสถานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นกระทรวงหลักที่รับผิดชอบการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง ได้แสดงบทบาทที่ทำให้เห็นว่ามีความใส่ใจ มีความเข้าใจ และมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพหลักในการจับมือกับกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและร่วมกันผลักดันพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ซึ่งเราเห็นว่ารัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ ควรใช้โอกาสนี้ในการเร่งทำผลงาน เร่งสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อหลุดพ้นจากวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล“
วิทวัส เทพสง ในฐานะรองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ เปิดเผยกับ The Active ว่า ในฐานะที่ตนเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาฯ ร่างกฎหมายดังกล่าว ทั้งในชั้น สส.และ สว.ซึ่งมีตัวแทนชาติพันธุ์อีกลหลายคนได้เข้าไปมีส่วนร่วม ควบคู่กับการทำกระบวนการไปทำความเข้าใจกับพี่น้องชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง คือเวลาพิจารณากฎหมายเสร็จ ก็จะลงไปทำกระบวนการสร้างความเข้าใจทุกครั้ง แต่ขั้นตอนจากนี้หาก สส.ไม่เห็นด้วยกับฉบับ สว.ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม และจากนี้จะไม่มีตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไปอีก
“สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือเราเรียนรู้ประสบการณ์มาแล้ว จริงๆหลายประเด็น เช่น นิยามคำว่าสภาชนเผ่าพื้นเมือง สส. ก็ตัด และวุฒิสภาก็ตัดหลาย ๆ เรื่อง ถ้าจากนี้มีเพียงสองกลุ่มไปคุยกัน เนื้อหาอาจไม่ตอบโจทย์หรือเป็นไปตามความต้องการของกลุ่มชาติพันธุ์ และภาคประชาชนที่เสนอกฎหมาย เลยอยากจะบอกไปถึง ส.ส. และ ส.ว.รวมถึงรัฐบาล จะต้องเดินหน้ากฎหมายนำไปสู่การประกาศใช้ในเร็ววันนี้ โดยไม่ต้องไปตั้งกรรมาธิการร่วมแล้ว ทุกอย่างออกมาดีแล้ว แม้จะไม่ตรงกับที่ตั้งใจทั้งหมด”
วิทวัส เทพสง
วิทวัส เทพสง รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เจกะพันธ์ พรหมมงคล ที่ปรึกษาเครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้
ขณะที่ เจกะพันธ์ พรหมมงคล ที่ปรึกษาเครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้ เรียกร้องว่า 1. ฝ่ายบริหาร คือรัฐบาลโดยเฉพาะ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งภายใต้มติ ครม.เดิม กระทรวงวัฒนธรรมเป็นกระทรวงหลัก ที่จะต้องทำเรื่องของการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
“เพราะฉะนั้นนาทีนี้เราก็ต้องเรียกร้องไปว่านายกฯ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ยังมีความสามารถพอที่จะทำงานได้อยู่ และแนวนโยบายว่าด้วยเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์ จะทำให้เป็นจริงได้ยังไง โดยให้ใช้พลังของวิถีวัฒนธรรมองค์ความรู้ของชาติพันธุ์ ให้มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น เพราะฉะนั้นงานนี้ก็ต้องเรียกร้องไปว่านายกฯ ควรจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อพิสูจน์ว่ายังพอมีความสามารถอยู่และทำเรื่องของกฎหมายชาติพันธุ์ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว โดยพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่เป็นจระเข้ขวางคลองอีกแล้ว ไม่ลดคุณค่าและความหมายของกฎหมายฉบับนี้ ผมคิดว่าประเด็นนี้คุณแพทองธารและพรรคเพื่อไทย ควรจะต้องใช้เป็นโอกาสในการที่จะพิสูจน์ว่า ยังมีความสามารถและมีความจริงใจที่จะดูแลพี่น้องชาติพันธุ์”
เจกะพันธ์ พรหมมงคล
2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ รัฐสภานั้น คิดว่าที่ผ่านมาก็ได้บั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยการตัดเนื้อหาไปเยอะมากพอแล้ว เพราะฉะนั้นรัฐสภาไม่ควรที่จะทำลายศักดิ์ศรีของพี่น้องชาติพันธุ์โดยการไปแก้กฎหมายให้มันแย่กว่านี้
“เพราะฉะนั้นทางเดียวที่อยากเห็นก็คือ ควรจะต้องผ่านออกมาก่อน หลังจากมีการประชุมสภาและตอนนี้สิ่งที่เรากังวลมากคือไม่รู้ว่าอยู่ในลำดับความสำคัญที่เท่าไร ผมคิดว่า ความเชื่อมั่นของพี่น้องต่อรัฐบาลและรัฐสภาในยุคนี้ตกต่ำจนถึงขั้นที่จะเลยศูนย์ไปแล้ว อยากให้ใช้โอกาสนี้แหละ ที่ทำให้เห็นว่ารัฐสภานั้นยังยึดโยงอยู่กับผู้คนบนพื้นแผ่นดินนี้โดยเฉพาะผู้คนที่อยู่มาก่อนที่จะมีประเทศนี้ด้วยซ้ำไป ก็คือพี่น้องชาติพันธุ์”
เจกะพันธ์ พรหมมงคล
7 ความมั่นคง ยกระดับคุณภาพชีวิต
พัฒนาศักยภาพบนวิถีวัฒนธรรมชาติพันธุ์
นอกจากนั้นแล้วตัวแทน 6 ชาติพันธุ์ภาคใต้ ได้แก่ ชาวเลมอแกน, มอแกลน, อูรักลาโว้ย, มันนิ, โอรังอัสลี และไทดำ ยังได้ระดมข้อเสนอเพื่อจัดทำแผน ใน 7 ประเด็น ประกอบด้วย
- ความมั่นคงในที่ดินและที่อยู่อาศัย
- ความมั่นคงในที่ทำกินและพื้นที่จิตวิญญาณ
- ความมั่นคงในระบบการศึกษาทุกช่วงวัย
- ความมั่นคงในระบบบริการสุขภาพ
- ความมั่นคงในสวัสดิการถ้วนหน้า
- ความมั่นคงในสาธารณูปโภค
- ความมั่นคงในอาชีพและรายได้





ที่ปรึกษาเครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้ ยังเปิดเผยภายหลังการระดมความเห็น จากการประเมินผลที่วางการประเมินไว้ 5 ขั้น คือ ดีมาก ดี ปานกลาง แย่ และแย่มาก ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในฝั่งที่แย่ และแย่มาก ความแย่มากที่เกิดขึ้นคล้ายกันทั้งหมด ก็คือเรื่องของที่ดินที่อยู่อาศัยที่ทำกินและพื้นที่สาธารณะประโยชน์ ความหมายก็คือว่าปัจจุบันนี้พี่น้องชาติพันธุ์ยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินเลย รวมถึงพื้นที่ทำกินทางทะเลก็เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เป็นที่ดินรัฐแทบจะ 100%
และต่อมาพื้นที่สาธารณะ ลำคลอง การระบายน้ำ ทางเดินหาดทรายทั้งหมด แทบจะเรียกได้ว่าเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ รวมถึงพื้นที่สุสานที่เอกชน ก็กลายไปเป็นที่ดินรัฐ
ที่ต้องแก้ตามมาก็คือในระบบสาธารณูปโภค การศึกษาและสวัสดิการแห่งรัฐ อันนี้แย่มากในความหมายก็คือพี่น้องบางคนบางกลุ่ม ยังไม่มีแม้กระทั่งบัตรประชาชนด้วยซ้ำ เช่นพี่น้องโอรังอัสลี จังหวัดยะลา นราธิวาส และมอแกนจังหวัดระนอง เป็นต้น กลุ่มนี้ไม่ต้องถามเรื่องสิทธิต่อมา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาการเข้าถึงสาธารณูปโภคและรักษาพยาบาลอันนี้ก็ยังเข้าไม่ถึง 100%
กลุ่มต่อมาก็คือกลุ่มที่มีบัตรแล้ว แต่ยังอยู่ห่างไกลโรงเรียน ห่างไกลโรงพยาบาล ไม่สามารถรับเงินเยียวยาชดเชยจากรัฐได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินดิจิทัลวอลเลต หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะต้องทำจากสมาร์ทโฟนเข้าไม่ถึงแน่นอน คือภาพรวมตอนนี้ คุณภาพชีวิตของพี่น้องชาติพันธุ์ทั้งหมดอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยแนวทางสำคัญ คือ
- ใช้มติ ครม.เป็นหลัก ซึ่งสัมพันธุ์กับ 6-7 กระทรวงเป็นอย่างน้อย เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นข้อเสนอที่ช่วยกันจัดทำขึ้นแล้ว จะเสนอไปให้ทุกกระทรวง ที่มีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เช่นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พม.ที่ทำขึ้นแล้วคือสำนักส่งเสริมชาติพันธ์ชาวเล เป็นต้น
- เสนอให้มีแผนดำเนินการของกระทรวงนั้น ๆ หรือให้มียุทธศาสตร์ว่าด้วยการส่งเสริม และคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
- ให้พิจารณาแต่งตั้งกลไกในระดับจังหวัด ภายใต้กลไกบูรณาการความร่วมมือของ 6-7 กระทรวงที่อยู่ภายใต้มติ ครม.กะเหรี่ยง-ชาวเล เมื่อปี 2553 อันนี้เป็นข้อเสนอหลัก คือเสนอให้ 6 กระทรวงนี้ ตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบขึ้นมาโดยตรง, ให้มีแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณเพื่อดูแลคนกลุ่มนี้โดยตรง, ให้เกิดกลไกบูรณาการความร่วมมือในพื้นที่ในระดับจังหวัด
และตอนนี้เนื่องจากต้องยอมรับก่อนว่า รัฐบาลในขณะนี้ ค่อนข้างที่จะเปราะบางเรื่องของเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนรัฐมนตรีที่กำกับติดตาม เช่น กรรมการหลายชุดที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา ก็มีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเรื่องแรกก่อน ก็คือตอนนี้จะต้องนำคำสั่งเดิมที่มีอยู่ ที่มีคำสั่งแต่งตั้งทั้งหมดเพื่อให้รับรองคำสั่งใหม่โดยเร็ว ต่อมาคือสิ่งที่เราทำในครั้งนี้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าแต่ละประเด็นปัญหานั้นมันถึงขั้นไหนแล้ว เราจะได้รู้ว่าควรจะต้องเดินต่ออย่างไร
“หลังจากนี้เอง ผมก็คิดว่าอาจจะต้องจัดทำเป็นแผนงานของทุกเผ่า แล้วเปิดวงเจรจาหลังจากที่มีการรับรองใหม่แล้วเพราะฉะนั้นหลังจากนี้หนีไม่พ้นที่พี่น้องจะต้องไปเจอทุกกระทรวง หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องทุกคณะ เพื่อเอาข้อมูลที่เราระดมและจัดทำเป็นแผนงาน พร้อมทั้งนำแผนและข้อเสนอที่ได้เตรียมพร้อมต่อการมีส่วนร่วมใน กม.ลูก เมื่อร่างกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ผ่านการพิจารณา”เจกะพันธ์ พรหมมงคล